การตั้งค่า SEO เบื้องต้นใน Blogger เปิดคำอธิบายการค้นหา (Meta Description)
หลังจากที่เราปรับแต่งการตั้งค่าพื้นฐานต่าง ๆ ของ Blogger กันไปแล้ว คราวนี้เรามาเข้าสู่ส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันเลยครับ นั่นก็คือ “การตั้งค่า SEO เบื้องต้น” ที่ทำได้ง่าย ๆ และส่งผลโดยตรงต่อการค้นหาบล็อกของเราใน Google
1. เปิดคำอธิบายการค้นหา (Meta Description)
การตั้งค่า Meta Description หรือคำอธิบายการค้นหาเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO บน Blogger เลยครับ เพราะมันคือสิ่งที่ Google จะนำไปแสดงผลเป็นคำอธิบายสั้น ๆ ใต้ลิงก์เว็บไซต์ของเราเมื่อมีการค้นหาบล็อกใน Google การตั้งค่า Meta Description ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสให้บล็อกของเราติดอันดับสูงขึ้น และดึงดูดให้คนคลิกเข้ามาอ่านบทความได้มากขึ้นด้วย
ทำไมต้องตั้งค่า Meta Description?
- 1. ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบล็อกของเราได้ง่ายขึ้น
- 2. เพิ่มโอกาสในการแสดงผลในหน้าแรกของการค้นหา (SERP)
- 3. ทำให้ผู้ค้นหาตัดสินใจคลิกเข้ามาอ่านได้ง่ายขึ้น ด้วยคำอธิบายที่น่าสนใจ
วิธีการตั้งค่า Meta Description ใน Blogger
1. เข้าไปที่หน้า การตั้งค่า (Settings) ของบล็อกใน Blogger
2. เลื่อนลงมาที่หัวข้อ “เมตาแท็ก (Meta Tags)”
3. กดเปิดใช้งานปุ่ม “เปิดใช้คำอธิบายการค้นหา (Enable Search Description)”
4. ใส่คำอธิบายที่คุณต้องการลงไปในช่อง “คำอธิบายการค้นหา (Search Description)” (ควรมีความยาวประมาณ 150 ตัวอักษร เพื่อให้ Google แสดงผลได้ครบถ้วน)
5. กด บันทึก (Save)
สร้างบล็อก Blogger ทำเงินออนไลน์ ด้วยมือถือ ติด Google adsense Affiliate seoข้อควรระวังในการตั้งค่า Meta Description
ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น “ทำบล็อก”, “SEO”, “Blogger”, “หาเงินออนไลน์”หลีกเลี่ยงการใส่คำอธิบายที่ยาวเกินไป เพราะ Google จะแสดงผลได้เพียง 150 ตัวอักษรเท่านั้นอย่าใส่ข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริง เพราะจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าโดนหลอก และอาจไม่กลับมาอีกการตั้งค่า Meta Description นี่แหละครับ คือขั้นตอนแรกที่สำคัญมากในการทำ SEO แบบพื้นฐานบน Blogger ที่เราทำได้ง่าย ๆ ถ้าตั้งค่าได้ถูกต้อง ก็ช่วยให้บล็อกของเราติดอันดับการค้นหาได้เร็วขึ้นแล้ว!
2. ข้อผิดพลาด 404 ที่กำหนดเอง (Custom 404 Errors) ใน Blogger
ต่อจากการตั้งค่า Meta Description ไปแล้ว คราวนี้มาต่อกันที่หัวข้อ ข้อผิดพลาด 404 ที่กำหนดเอง (Custom 404 Errors) ครับ เรื่องนี้สำคัญไม่แพ้กันเลย เพราะมันช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าชม และช่วยให้บล็อกของเราดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ข้อผิดพลาด 404 คืออะไร?
ข้อผิดพลาด 404 คือ ข้อความที่แสดงขึ้นเมื่อมีผู้เข้าชมพยายามเข้าถึงหน้าเว็บที่ไม่มีอยู่แล้วหรือถูกลบออกไป เช่น
- ผู้ใช้พิมพ์ URL ผิด
- หน้าเว็บนั้นถูกลบออกไป
- หน้าเว็บนั้นถูกย้ายไปที่ URL อื่น โดยไม่มีการตั้งค่า Redirect
ทำไมเราต้องตั้งค่า 404 ที่กำหนดเอง?
1. ช่วยรักษาผู้เข้าชมให้อยู่ในบล็อกของเรา แทนที่จะให้พวกเขาเจอหน้าที่ว่างเปล่าหรือข้อความที่ไม่น่าสนใจ
2. ช่วยสร้างความประทับใจที่ดี บล็อกที่มีการตั้งค่า 404 ที่กำหนดเองดูเป็นมืออาชีพ และทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเราดูแลบล็อกอย่างดี
3. ช่วยในการทำ SEO การตั้งค่า 404 ที่กำหนดเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์เราได้ดีขึ้น และไม่มองว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง
วิธีการตั้งค่าข้อผิดพลาด 404 ที่กำหนดเองใน Blogger
1. เข้าสู่ Blogger Dashboard: ไปที่หน้า “การตั้งค่า (Settings)”
2. เลื่อนลงไปที่หัวข้อ “ข้อผิดพลาดและการเปลี่ยนเส้นทาง (Errors and Redirects)”
3. คลิกที่ “ข้อผิดพลาด 404 ที่กำหนดเอง (Custom 404 Error)”
4. พิมพ์ข้อความที่คุณต้องการให้แสดงเมื่อเกิดข้อผิดพลาด 404
ตัวอย่างข้อความที่ใช้
“ขอโทษครับ! หน้าที่คุณกำลังหาไม่มีอยู่ในบล็อกนี้แล้ว ลองกลับไปที่หน้าแรก หรือค้นหาบทความที่คุณต้องการผ่านแถบค้นหาด้านบนได้เลยครับ”5. กดบันทึก (Save) เพื่อบันทึกการตั้งค่า
ตัวอย่างการตั้งค่าข้อความ 404 ที่มีประสิทธิภาพ
การตั้งค่าข้อความ 404 ที่ดี ควรประกอบไปด้วย:
1. ข้อความบอกให้รู้ว่ามันคือข้อผิดพลาด 404 เช่น “404 - หน้านี้ไม่มีอยู่แล้ว”
2. ข้อความอธิบายอย่างเป็นมิตร อธิบายสาเหตุที่ผู้ใช้อาจเจอหน้า 404 ด้วยคำที่เป็นมิตร และเป็นกันเอง
3. ลิงก์ที่มีประโยชน์ เช่น ลิงก์ไปยังหน้าแรก หรือแนะนำบทความที่ได้รับความนิยมในบล็อก
4. กล่องค้นหา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้ทันที
ตัวอย่างข้อความที่ผมใช้อยู่ใน LuMoo Blog
“อุ๊บส์! ดูเหมือนหน้าที่คุณกำลังค้นหาไม่มีอยู่แล้ว อาจจะโดนลบหรือเปลี่ยน URL ไปแล้วไม่ต้องกังวลนะครับ คุณสามารถกลับไปที่หน้าแรก หรือค้นหาเนื้อหาที่ต้องการจากกล่องค้นหาได้เลย! :)”
เคล็ดลับเพิ่มเติมอย่าทำให้หน้าข้อผิดพลาด 404 ดูน่าเบื่อ ลองใส่ภาพน่ารัก ๆ หรือข้อความตลก ๆ ลงไป เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกผ่อนคลาย
ทำให้หน้าข้อผิดพลาด 404 มีลิงก์นำทางกลับไปยังหน้าแรก หรือหน้าเนื้อหายอดนิยม เพื่อรักษาผู้เข้าชมให้อยู่ในบล็อกต่อไป
ใช้กล่องค้นหา (Search Box) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
3. ข้อผิดพลาดและการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirects) ใน Blogger
ต่อจากการตั้งค่า ข้อผิดพลาด 404 ที่กำหนดเอง (Custom 404 Errors) ไปแล้ว คราวนี้เรามาดูเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรงครับ นั่นคือ การจัดการข้อผิดพลาด 404 และการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirects)
ข้อผิดพลาดและการเปลี่ยนเส้นทางคืออะไร?
- ข้อผิดพลาด 404 (404 Error) เป็นข้อความที่แสดงขึ้นเมื่อผู้ใช้งานพยายามเข้าถึงหน้าบล็อกที่ไม่มีอยู่แล้ว หรือ URL ที่ถูกลบหรือเปลี่ยนแปลงไป
- การเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect) เป็นการตั้งค่าให้เมื่อผู้ใช้งานคลิกลิงก์ที่ไม่มีอยู่ (404) ระบบจะพาพวกเขาไปที่หน้าใหม่ที่เรากำหนดไว้ได้โดยอัตโนมัติ
ทำไมเราต้องจัดการข้อผิดพลาด 404 และตั้งค่า Redirects?
- 1. เพื่อรักษาประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าชม เมื่อผู้ใช้งานเจอหน้าที่ไม่มีอยู่แล้ว จะทำให้รู้สึกว่าเว็บไซต์ของเราไม่น่าเชื่อถือหรือดูไม่สมบูรณ์
- 2. เพื่อให้ Google จัดอันดับบล็อกได้ดีขึ้น การมีข้อผิดพลาด 404 เยอะ ๆ อาจส่งผลเสียต่อการทำ SEO ได้ เพราะ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของเรามีปัญหาในการจัดการเนื้อหา
- 3. เพื่อส่งผู้ใช้งานไปยังเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว การตั้งค่า Redirects จะช่วยให้ผู้ใช้งานไปยังหน้าที่ต้องการได้แม้ว่าจะเข้าผิดลิงก์
- วิธีการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางใน Blogger (Redirects)
1. ไปที่หน้า “การตั้งค่า (Settings)” ของบล็อกใน Blogger
2. เลื่อนลงไปที่หัวข้อ “ข้อผิดพลาดและการเปลี่ยนเส้นทาง (Errors and Redirects)”
3. คลิกที่ “การเปลี่ยนเส้นทางที่กำหนดเอง (Custom Redirects)”
4. กดปุ่ม “เพิ่ม (Add)” เพื่อเริ่มตั้งค่า Redirect
5. ใส่ URL ที่คุณต้องการเปลี่ยนเส้นทาง (เช่น /2025/03/old-post → /2025/03new-post)
6. คลิกที่ช่อง “ถาวร (Permanent)” ถ้าคุณต้องการให้การเปลี่ยนเส้นทางนี้เป็นการเปลี่ยนแบบถาวร (301 Redirect)
7. กด บันทึก (Save)
เมื่อไหร่ที่ควรทำ Redirects?
1. เมื่อคุณลบโพสต์เก่าออกจากบล็อก ถ้ามีลิงก์ภายนอกที่เชื่อมมาหน้านั้นอยู่ เราควรตั้งค่า Redirect ไปยังหน้าที่มีเนื้อหาใกล้เคียงที่สุด
2. เมื่อคุณเปลี่ยน URL ของโพสต์ เช่น เปลี่ยนจาก /2025/03/old-post ไปเป็น /2025/03/new-post เพื่อให้ URL เป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น
3. เมื่อคุณต้องการรวมเนื้อหาสองหน้าที่คล้ายกันเป็นหน้าเดียว การ Redirect จะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่หลงทาง และเนื้อหาของคุณยังคงเชื่อมโยงกันได้ดี
ตัวอย่างการทำ Redirects ใน Blogger
กรณีที่ลบโพสต์เก่าไปแล้ว
URL เก่า https://lumooblog.blogspot.com/2025/03/old-post.html
URL ใหม่ที่ต้องการให้ไป: https://lumooblog.blogspot.com/2025/03/new-post.html
เราก็แค่ตั้งค่าให้เมื่อมีคนพยายามเข้าลิงก์เก่า ก็จะพาไปที่ลิงก์ใหม่ที่เรากำหนดได้เลย ไม่ต้องเสียทราฟฟิกให้สูญเปล่า
ข้อควรระวังในการตั้งค่า Redirects
1. อย่าทำ Redirect ซ้อนกันหลายชั้น เพราะจะทำให้ Google มองว่าเป็นการพยายามหลอกลวง หรือทำให้การจัดอันดับแย่ลง
2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลิงก์ที่เราทำ Redirect นั้นใช้งานได้จริง
3. อย่าลืมกดบันทึกทุกครั้งหลังการตั้งค่า{codeBox}
การตั้งค่า Crawler และการจัดทำดัชนี (Crawlers & Indexing)
เมื่อเราพูดถึงการทำ SEO ให้บล็อกของเรา มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่เราต้องตั้งค่าให้ถูกต้อง นั่นก็คือ Crawler และการจัดทำดัชนี (Indexing) ซึ่งช่วยให้ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เข้ามาอ่านและบันทึกข้อมูลจากบล็อกของเราไปเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่อให้เวลาคนค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหาของเรา เจอเว็บไซต์เราง่ายขึ้น
การตั้งค่า Robots.txt ที่กำหนดเอง
การตั้งค่า Robots.txt เป็นการบอกให้ Googlebot หรือ Crawler ของเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ รู้ว่า เราต้องการให้มันเข้าถึงหน้าไหนได้บ้าง และห้ามเข้าถึงหน้าไหนบ้าง
ในกรณีของบล็อกของผม LuMoo Blog การตั้งค่าของ Robots.txt ที่ใช้อยู่คือ
User-agent: Mediapartners-Google Disallow: User-agent: * Disallow: Allow: /search/label/ Sitemap: https://lumooblog.blogspot.com/sitemap.xml Sitemap: https://lumooblog.blogspot.com/sitemap-pages.xml
อธิบายUser-agent: Mediapartners-Google บอกให้บอทของ Google ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงโฆษณา (เช่น AdSense) สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ทั้งหมดUser-agent: * ใช้เครื่องหมาย * เพื่อให้ครอบคลุมบอทจากทุกเครื่องมือค้นหา
Disallow: ไม่มีการปิดกั้นบอทเลย หมายความว่า บอทสามารถเข้าถึงทุกหน้าได้
Allow: /search/label/ อนุญาตให้บอทเข้าถึงหน้า Label หรือหมวดหมู่ได้
Sitemap: ระบุพิกัดไฟล์ Sitemap ที่เราต้องการให้บอทเข้าถึง เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารรวบรวมข้อมูลจากบล็อกของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมการตั้งค่านี้ถึงสำคัญ?
การตั้งค่า Robots.txt ที่ถูกต้อง จะช่วยให้ Googlebot หรือบอทอื่น ๆ เข้ามาสำรวจเนื้อหาของเราได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ยิ่งเราทำให้บอทอ่านเนื้อหาได้ดีเท่าไหร่ โอกาสที่บทความของเราจะถูกจัดอันดับในหน้าการค้นหาก็ยิ่งสูงขึ้น
กรณีที่ควรปรับแต่ง Robots.txt
ถ้าคุณต้องการ ซ่อนหน้าบางหน้าไม่ให้ Google เข้าถึง เช่น หน้าเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว หรือหน้าที่คุณไม่ต้องการให้แสดงผลในการค้นหา คุณสามารถใส่คำสั่ง Disallow: /สามารถระบุ URL ที่อยู่เว็บบล็อก ได้เลย
การตั้งค่าแท็กสำหรับโรบ็อตที่กำหนดเอง (Custom Robot Tags)
เมื่อเราตั้งค่า Robots.txt เรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือการตั้งค่า Custom Robot Tags ที่ช่วยให้เราควบคุมการทำดัชนีของหน้าเว็บต่าง ๆ ได้ละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อ SEO ของบล็อกเรา
1. แท็กสำหรับหน้าแรก (Homepage Tags)
การตั้งค่านี้คือการกำหนดว่า Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ จะ เก็บดัชนี (Index) และ ตามลิงก์ (Follow Links) ในหน้าแรกของเราหรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้ผมได้เลือกดังนี้
- all: อนุญาตให้บอทเก็บดัชนีและตามลิงก์ได้อย่างอิสระ
- noindex: ห้ามบอทเก็บดัชนีหน้านี้ (ผมปิดไว้ เพราะต้องการให้ Google เก็บดัชนี)
- nofollow: ห้ามบอทตามลิงก์ที่อยู่ในหน้านี้ (ผมปิดไว้ เพื่อให้ลิงก์ทั้งหมดมีค่า SEO)
- noarchive: ห้ามบอทสร้างแคชสำรองของหน้านี้
- nosnippet: ห้ามบอทแสดงข้อความตัวอย่าง (Snippet) ในผลการค้นหา
- noodp: ห้ามใช้ข้อมูลจาก Open Directory Project (DMOZ) สำหรับการแสดงผล
- notranslate: ห้าม Google แปลหน้าของเราเป็นภาษาอื่น
- noimageindex: ห้ามบอทเก็บดัชนีรูปภาพจากหน้านี้
- unavailable_after: กำหนดวันหมดอายุให้กับหน้าเว็บ (ไม่ต้องการใช้)
ผมเลือกให้ตั้งค่าเป็น “all” และเปิดใช้งาน “noodp” เพื่อให้ Google อ่านเนื้อหาได้เต็มที่ตามที่เราเขียน ไม่ต้องไปดึงข้อมูลจากแหล่งอื่นมาแสดงผล
2. แท็กสำหรับที่เก็บถาวรและหน้าค้นหา (Archive & Search Tags)
ส่วนนี้จะกำหนดว่าบอทจะเก็บดัชนีและตามลิงก์ในหน้า Archive (ดัชนีคลังบทความ) และหน้า Search (หน้าผลลัพธ์การค้นหา) หรือไม่
noindex: เปิดใช้งาน เพื่อ ป้องกันไม่ให้ Google เก็บดัชนีหน้าที่เก็บถาวรและหน้าค้นหา เพราะหน้าเหล่านี้อาจเป็นเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกับหน้าบทความจริง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO
nofollow: ปิดใช้งาน เพื่อให้บอทตามลิงก์ที่อยู่ในหน้านี้ได้
การตั้งค่านี้ช่วยให้ Google โฟกัสกับเนื้อหาหลักของเรา ไม่ใช่การเก็บดัชนีหน้าที่ไม่จำเป็น เช่น หน้าค้นหา หรือหน้าดัชนีเก่าที่เราไม่ได้ใช้งานแล้ว
3. แท็กสำหรับโพสต์และหน้าเว็บ (Post & Page Tags)
สำหรับแท็กนี้คือการกำหนดการทำดัชนีของโพสต์และหน้าทั้งหมดในบล็อก ซึ่งควรจะตั้งค่าให้ Google เก็บดัชนีอย่างเต็มที่
- all: เปิดใช้งาน เพื่อให้บอทเก็บดัชนีและตามลิงก์ในโพสต์และหน้าเว็บทั้งหมด
- noindex: ปิดใช้งาน เพื่อให้ Google เก็บดัชนีได้ตามปกติ
- nofollow: ปิดใช้งาน เพื่อให้บอทตามลิงก์ที่เราทำไว้ได้เต็มที่
- noodp: เปิดใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้ Google ดึงข้อมูลจาก DMOZ มาแสดงผล
- notranslate: เปิดใช้งาน หากคุณไม่ต้องการให้ Google แปลบทความของคุณเป็นภาษาอื่น
- noimageindex: ปิดใช้งาน เพื่อให้รูปภาพในบล็อกสามารถถูกค้นหาเจอได้ผ่าน Google Image
- unavailable_after: ปิดใช้งาน เพราะไม่ต้องการให้บทความหมดอายุใน Google
- ผมตั้งค่าให้เป็น “all” และเปิดใช้งาน “noodp” เพื่อให้ Google สามารถเก็บดัชนีบทความทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งตามลิงก์ที่เราวางไว้
การตั้งค่าแท็กนี้สำคัญยังไง?
การตั้งค่า Custom Robot Tags มีผลอย่างมากต่อ SEO ของเรา เพราะมันกำหนดว่า Google จะเก็บดัชนีเนื้อหาไหนบ้าง และควรจะเพิกเฉยกับเนื้อหาไหน โดยการตั้งค่าให้ถูกต้องช่วยให้บล็อกของเรามีโอกาสติดอันดับได้ง่ายขึ้น และลดปัญหาเรื่องเนื้อหาซ้ำซ้อนหรือเนื้อหาที่ไม่ควรให้คนอื่นเห็น{codeBox}
บทความถัดไป วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ หลังจากที่เราตั้งค่า SEO เบื้องต้นต่าง ๆ ใน Blogger กันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การเปิดคำอธิบายการค้นหา (Meta Description), การตั้งค่า Custom 404 Errors และ การทำ Redirects เพื่อให้บล็อกของเราได้รับการจัดอันดับใน Google อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตอนนี้ถึงเวลาเข้าสู่หัวข้อสำคัญอีกส่วนหนึ่ง นั่นคือ “การโพสต์เนื้อหาใน Blogger ผ่านมือถือ” การเขียนบทความที่ดีบนมือถือไม่ใช่แค่พิมพ์ข้อความลงไปเท่านั้น แต่ยังต้องมีการจัดวางที่ถูกต้อง ใส่รูปภาพ และใช้โครงสร้างหัวข้อ H1-H6 ให้เหมาะสมสำหรับ SEO เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาเราได้ง่ายขึ้น
ในบทความถัดไป ผมจะพาคุณไปเรียนรู้ [วิธีการเขียนโพสต์ใหม่ การจัดการเนื้อหา และการตั้งค่าให้พร้อมสำหรับการเผยแพร่ใน Blogger บนมือถือ]
ย้อนไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ [วิธีสร้างบล็อก Blogger ด้วยมือถือ (ตอนที่ 2) การตั้งค่าพื้นฐานให้กับ Blogger]
0 ความคิดเห็น