วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ เทคนิคการเขียน การตั้งค่า SEO และการเผยแพร่ที่ถูกต้อง
1. การเริ่มต้นโพสต์เนื้อหาใหม่ใน Blogger ผ่านมือถือ
เมื่อบทความที่แล้วเราได้เรียนรู้ตั้งค่า SEO เบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้ง Meta Description, Custom 404 Errors, Redirects และ Crawler ทุกอย่างพร้อมสำหรับการโพสต์เนื้อหาใหม่บนบล็อกของคุณผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็น iPhone หรือ Android ก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังนี้
การเข้าใช้งานแอป Blogger หรือผ่านเว็บเบราว์เซอร์คุณสามารถเลือกใช้งานได้ 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
1. ผ่านแอป Blogger (เฉพาะ Android)
- ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store
- เปิดแอปแล้วเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
- เลือกบล็อกที่คุณต้องการโพสต์เนื้อหา หรือสร้างบล็อกใหม่หากยังไม่มี
2. ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (Google Chrome, Brave หรือ Safari)
- เปิดเบราว์เซอร์ที่คุณใช้งาน แล้วไปที่เว็บไซต์ Blogger.com
- เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
- เลือกบล็อกที่คุณต้องการแก้ไขหรือสร้างใหม่
แนะนำให้ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ Google Chrome หรือ Brave เพราะสามารถเข้าถึงเครื่องมือทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่จำกัดเหมือนการใช้งานผ่านแอปโดยตรง
วิธีสร้างโพสต์ใหม่ และการตั้งชื่อบทความให้ตรงกับคีย์เวิร์ดหลัก (SEO-friendly)
1. เข้าสู่หน้าเขียนโพสต์ใหม่ (Create New Post)
- กดที่ปุ่ม “+” หรือ “สร้างโพสต์ใหม่” ที่มุมบนขวาของหน้าจอ
- จะเข้าสู่หน้าเขียนบทความที่มีช่องให้คุณใส่ชื่อบทความ และช่องสำหรับเขียนเนื้อหา
2. ตั้งชื่อบทความให้ดึงดูดและ SEO-friendly
- ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดหลักชัดเจน เช่น “วิธีโพสต์เนื้อหาใน Blogger ผ่านมือถือ”
- หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อที่ยาวเกินไป ควรจำกัดไว้ที่ประมาณ 60 ตัวอักษร
- ใช้คำที่น่าสนใจ ชวนให้คลิก เช่น “เทคนิคการเขียน”, “การตั้งค่า SEO”, “เผยแพร่ที่ถูกต้อง” เป็นต้น
3. ใช้เครื่องมือ Toolbar ในการเขียนบทความ
- เมื่อคุณเริ่มพิมพ์ จะเห็นแถบเครื่องมือที่อยู่ด้านบนของพื้นที่เขียนบทความ
- เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดรูปแบบเนื้อหาให้สวยงาม อ่านง่าย และเป็นมิตรกับ SEO
มารู้จักเครื่องมือ Toolbar ใน Blogger เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้จัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเครื่องมือที่เราจะพบได้ในแถบนี้ ได้แก่
1. ปากกา (เขียน/แก้ไขเนื้อหา)
เครื่องมือนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างบทความใหม่หรือแก้ไขบทความที่มีอยู่แล้วใน Blogger โดยเมื่อคลิกที่ไอคอนปากกา จะมีตัวเลือกให้คุณเลือกโหมดการเขียนดังนี้
- มุมมองเขียน (Compose View) โหมดที่คุณสามารถพิมพ์เนื้อหาได้อย่างอิสระในรูปแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) ซึ่งหมายความว่าเนื้อหาที่คุณพิมพ์จะปรากฏแบบเดียวกับที่ผู้อ่านเห็น เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการแก้ไขโค้ด HTML โดยตรง สามารถปรับแต่งข้อความ ตัวอักษร สี และรูปแบบต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่าน Toolbar ที่มีให้
- มุมมอง HTML (HTML View) โหมดที่แสดงโครงสร้างโค้ด HTML ทั้งหมดของบทความ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขเนื้อหาในระดับโค้ด เช่น การฝังโค้ดจากแหล่งภายนอก การปรับแต่งการแสดงผลด้วย CSS หรือการใส่โค้ด HTML ที่ต้องการความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
2. เลิกทำ ⬅️ (Undo)
เครื่องมือที่ช่วยให้คุณยกเลิกการกระทำล่าสุดที่เพิ่งทำไป เช่น การพิมพ์ข้อความผิด การลบเนื้อหาที่ไม่ตั้งใจ หรือการปรับแต่งรูปแบบที่ไม่ต้องการ โดยสามารถกดได้หลายครั้งเพื่อย้อนกลับการกระทำก่อนหน้านี้ตามลำดับที่คุณทำมา ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็วและง่ายดาย
3. ทำซ้ำ ➡️ (Redo)
เครื่องมือที่ทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับ Undo โดยเมื่อคุณยกเลิกการกระทำใด ๆ ด้วย Undo แล้ว กด Redo จะทำให้การกระทำนั้นกลับคืนมา เช่น ถ้าเผลอกด Undo มากเกินไป Redo จะช่วยให้คุณเรียกคืนเนื้อหาหรือการแก้ไขที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
4. ตัวอักษร (Font Style)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณเลือกแบบอักษร (Font) ที่เหมาะสมกับบทความของคุณ เพื่อให้ดูสวยงาม อ่านง่าย และมีเอกลักษณ์ตามสไตล์ที่ต้องการ โดย Blogger มีให้เลือกหลากหลาย ได้แก่:
- แบบอักษรเริ่มต้น (Default Font) แบบอักษรมาตรฐานที่กำหนดไว้ เหมาะสำหรับเนื้อหาทั่วไป
- Arial แบบอักษรที่ดูสะอาดตา และอ่านง่าย เหมาะสำหรับบทความทั่วไปหรือเนื้อหาที่ต้องการความชัดเจน
- Courier แบบอักษรที่เลียนแบบการพิมพ์ดีด ให้ความรู้สึกคลาสสิคและเฉพาะตัว
- จอร์เจีย (Georgia) แบบอักษรที่มีหัวตัวอักษร (Serif) ชัดเจน อ่านง่าย เหมาะกับบทความที่เป็นทางการ
- Helvetica แบบอักษรที่ดูเรียบง่ายและทันสมัย เหมาะกับบทความที่ต้องการสไตล์ที่ดูโมเดิร์น
- Times แบบอักษรที่นิยมใช้ในเอกสารหรือบทความที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
- Trebuchet แบบอักษรที่ดูเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับบทความที่มีเนื้อหาแบบเล่าเรื่องหรือแนะนำ
- Verdana แบบอักษรที่อ่านง่ายแม้ในขนาดเล็ก เหมาะสำหรับบทความที่มีเนื้อหาเยอะหรือเนื้อหาที่ต้องการให้อ่านสบายตา
การเลือกแบบอักษรที่เหมาะสมจะช่วยให้บทความของคุณดูมีสไตล์ และสามารถดึงดูดผู้อ่านได้ดีขึ้น
5. ขนาดตัวอักษร (Font Size)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณปรับขนาดตัวอักษรในบทความให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยมีตัวเลือกดังนี้
- ปกติ (Normal) ขนาดมาตรฐาน เหมาะสำหรับเนื้อหาทั่วไป
- ใหญ่ (Large) ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เหมาะสำหรับหัวข้อย่อย หรือเนื้อหาที่ต้องการเน้นให้เด่นชัด
- ใหญ่พิเศษ (Extra Large) ขนาดที่ใหญ่ที่สุด เหมาะสำหรับหัวข้อหลักหรือข้อความที่ต้องการให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด
การเลือกขนาดตัวอักษรที่ถูกต้องช่วยให้บทความอ่านง่าย และสามารถเน้นส่วนสำคัญของเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ย่อหน้า (Paragraph Formatting)
เครื่องมือที่ช่วยให้คุณจัดโครงสร้างบทความให้เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย โดยการกำหนดรูปแบบย่อหน้าหรือหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
- ปกติ (Normal Text) ใช้สำหรับพิมพ์เนื้อหาทั่วไปที่เป็นข้อความหลัก
- ส่วนหัวหลัก (Heading) ใช้สำหรับหัวข้อที่สำคัญที่สุดในบทความ (H1) มักใช้กับชื่อเรื่องหลักของบทความเพื่อให้โดดเด่น
- ส่วนหัว (Subheading) ใช้สำหรับหัวข้อย่อยที่อยู่ภายใต้หัวข้อหลัก (H2) เพื่อแบ่งเนื้อหาให้ชัดเจนเป็นหมวดหมู่
- ส่วนหัวย่อย (Minor heading) ใช้สำหรับหัวข้อที่เล็กลงไปอีกขั้น (H3) เหมาะสำหรับเจาะลึกเนื้อหาในแต่ละประเด็นย่อย
- ส่วนหัวรอง (Subminor heading) ใช้สำหรับเนื้อหาที่เล็กที่สุด (H4) มักใช้สำหรับแบ่งรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละส่วน
- ย่อหน้า (Paragraph) ใช้สำหรับการแยกเนื้อหาออกจากกันอย่างเป็นระเบียบ เช่น การเว้นบรรทัดใหม่ เพื่อไม่ให้บทความดูอัดแน่นเกินไป
การจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบด้วยการใช้หัวข้อและย่อหน้าอย่างเหมาะสม จะช่วยให้บทความของคุณดูน่าอ่าน และช่วยให้ Google สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้ดีขึ้นตามหลัก SEO
เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการเนื้อหาในบทความได้อย่างเป็นระเบียบ เหมาะสม และดึงดูดผู้อ่านได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้บทความของคุณเป็นมิตรกับการทำ SEO มากขึ้นด้วย
7. ตัวหนา B (Bold)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับเน้นข้อความให้ดูโดดเด่นและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยการทำตัวอักษรให้หนา เหมาะสำหรับการเน้นคำสำคัญ ข้อความสำคัญ หรือหัวข้อที่ต้องการให้ผู้อ่านสังเกตเห็นได้ชัดเจน การใช้ตัวหนาในบทความยังช่วยให้โครงสร้างเนื้อหาดูเป็นระเบียบและอ่านง่ายขึ้นอีกด้วย
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนตัว "B" เพื่อเปิดใช้งาน
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นตัวหนา หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้เป็นตัวหนา
- เมื่อคุณต้องการยกเลิกการทำตัวหนา ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "B" ซ้ำ
8. ตัวเอียง I (Italic)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณทำตัวอักษรให้เอียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับการเน้นคำพูด ประโยคที่ต้องการให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก การอ้างอิงคำพูด หรือข้อความที่ต้องการเน้นแบบไม่โดดเด่นจนเกินไป
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนตัว "I" เพื่อเปิดใช้งาน
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นตัวเอียง หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้เป็นตัวเอียง
- เมื่อต้องการยกเลิกการทำตัวเอียง ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "I" ซ้ำ
9. ขีดเส้นใต้ U (Underline)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับขีดเส้นใต้ข้อความเพื่อเน้นหรือเน้นความสำคัญเพิ่มเติม โดยทั่วไปมักใช้ในการอ้างอิง ลิงก์ หรือหัวข้อที่ต้องการให้เห็นได้ชัดเจน
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนตัว "U" เพื่อเปิดใช้งาน
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้มีขีดเส้นใต้ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้มีขีดเส้นใต้
- เมื่อต้องการยกเลิกการขีดเส้นใต้ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "U" ซ้ำ
10. ขีดฆ่า T (Strikethrough)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถทำเครื่องหมายขีดฆ่าบนข้อความ เหมาะสำหรับการแสดงเนื้อหาที่ถูกยกเลิก ข้อความที่ไม่ต้องการใช้อีกต่อไป หรือการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าได้มีการแก้ไขแล้ว
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนตัว "
T" ที่มีเส้นขีดทับเพื่อเปิดใช้งาน - พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้มีขีดฆ่า หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้มีขีดฆ่า
- เมื่อต้องการยกเลิกการขีดฆ่า ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มนี้ซ้ำ
11. สีตัวอักษร (Text Color)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนสีตัวอักษรให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก เหมาะสำหรับการเน้นข้อความให้เด่นชัดขึ้น การใช้สีที่ต่างจากสีปกติจะช่วยดึงดูดสายตาผู้อ่านได้มากขึ้น
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนตัว "A" ที่มีขีดเส้นใต้สีดำ
- เลือกสีที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา หรือกำหนดสีเฉพาะที่ต้องการใช้
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นสีที่เลือก หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและเปลี่ยนสีตามที่ต้องการ
- เมื่อต้องการเปลี่ยนกลับเป็นสีปกติ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วเลือกสีเดิม
12. ไฮไลต์ข้อความ (Highlight)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการเน้นข้อความด้วยการใส่สีพื้นหลัง เหมาะสำหรับการเน้นส่วนที่สำคัญ หรือการทำให้ข้อความดูโดดเด่นจากส่วนอื่น ๆ ของบทความ
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปปากกา
- เลือกสีที่ต้องการใช้เป็นพื้นหลังสำหรับข้อความ
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วให้เปลี่ยนสีพื้นหลังตามที่ต้องการ
- เมื่อต้องการยกเลิกการไฮไลต์ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วเลือกสีพื้นหลังเป็นค่าเริ่มต้น (ไม่มีสี)
13. ลิงก์ (Link)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มลิงก์ลงในบทความได้ เหมาะสำหรับการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น บทความอื่น ๆ หรือหน้าภายในบล็อกของคุณเอง
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปโซ่ (ลิงก์)
- ใส่ URL ที่ต้องการลิงก์ไปถึงในช่องที่กำหนด
- ใส่ข้อความที่ต้องการให้ผู้อ่านคลิกในช่องข้อความที่แสดง (เช่น "อ่านเพิ่มเติม")
- กดปุ่มตกลงเพื่อเพิ่มลิงก์ลงในบทความ
14. รูปภาพ (Image)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณแทรกรูปภาพลงในบทความได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับการเพิ่มภาพประกอบที่ช่วยอธิบายเนื้อหาให้ชัดเจนขึ้น
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปภาพ
- เลือกแหล่งที่มาของภาพ เช่น อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์, เลือกจาก Blogger, URL หรือ Google Photos
- เลือกรูปภาพที่ต้องการแทรกลงในบทความ และกด "ตกลง"
15. วิดีโอ (Video)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับแทรกวิดีโอลงในบทความ เหมาะสำหรับการเพิ่มเนื้อหาวิดีโอที่ช่วยเสริมเนื้อหาบทความให้มีความหลากหลาย
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปฟิล์ม
- เลือกแหล่งที่มาของวิดีโอ เช่น อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์ หรือฝังลิงก์จาก YouTube
- กด "ตกลง" เพื่อแทรกวิดีโอที่ต้องการลงในบทความ
เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถตกแต่งบทความใน Blogger ให้ดูเป็นระเบียบและสวยงามยิ่งขึ้น สามารถดึงดูดผู้อ่านและช่วยในการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
16. อีโมจิ (Emoji)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถแทรกอีโมจิลงในบทความได้ ทำให้เนื้อหาดูเป็นกันเอง มีสีสัน และสนุกสนานมากขึ้น เหมาะสำหรับบทความที่ต้องการสร้างความเป็นมิตรหรือต้องการเน้นอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความดีใจ ความเศร้า หรือความตื่นเต้น
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปหน้ายิ้ม (😊)
- เลือกอีโมจิที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา
- คลิกที่อีโมจิเพื่อแทรกลงในบทความทันที
17. การจัดตำแหน่งข้อความ (Alignment)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการจัดตำแหน่งข้อความภายในบทความ เพื่อให้เนื้อหาดูเป็นระเบียบ อ่านง่าย และเหมาะสมกับโครงสร้างที่ต้องการ โดยมีตัวเลือกดังนี้
- ชิดซ้าย ข้อความทั้งหมดจะชิดอยู่ทางด้านซ้าย เหมาะสำหรับบทความทั่วไปหรือเนื้อหาที่ยาว
- กึ่งกลาง ข้อความจะถูกจัดให้อยู่ตรงกลาง เหมาะสำหรับหัวข้อสำคัญ ชื่อเรื่อง หรือคำคมที่ต้องการเน้น
- ชิดขวา ข้อความจะถูกจัดให้ชิดทางด้านขวา เหมาะสำหรับการใส่ข้อมูลอ้างอิงหรือเซ็นชื่อ
- จัดเต็มบรรทัด ข้อความจะถูกกระจายให้เต็มความกว้างของหน้า เหมาะสำหรับบทความที่ต้องการความเป็นระเบียบ เช่น บทความข่าวหรือรายงาน
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์การจัดตำแหน่ง
- เลือกตัวเลือกที่ต้องการ เช่น ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา หรือจัดเต็มบรรทัด
18. การเยื้องข้อความ (Indentation)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเลื่อนข้อความหรือย่อหน้าไปทางขวา หรือเลื่อนกลับไปทางซ้ายได้ เหมาะสำหรับการทำบล็อกโควต การแบ่งเนื้อหาเป็นข้อ ๆ หรือการแทรกข้อความที่ต้องการให้ดูแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์การเยื้องข้อความ (ลูกศรที่ชี้เข้าและออก)
- การเยื้องเข้าจะทำให้ข้อความเลื่อนเข้าทางขวา
- การเยื้องออกจะทำให้ข้อความเลื่อนกลับไปทางซ้าย
19. รายการแบบมีสัญลักษณ์ (Bulleted List)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสร้างรายการแบบมีจุดหรือสัญลักษณ์นำหน้า เหมาะสำหรับการแสดงรายการที่ไม่ต้องเรียงลำดับ เช่น การแสดงคุณสมบัติ ข้อดี หรือรายการที่ต้องการให้ผู้อ่านมองเห็นได้ง่าย
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปจุดสามจุด (•) หรือรายการจุด (Bulleted List)
- พิมพ์รายการที่ต้องการ แต่ละบรรทัดที่กด Enter จะสร้างรายการใหม่โดยอัตโนมัติ
- เมื่อต้องการยกเลิกรายการ ให้คลิกที่ไอคอนนี้ซ้ำ
20. รายการแบบมีหมายเลข (Numbered List)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับสร้างรายการที่มีหมายเลขนำหน้า เหมาะสำหรับการแสดงขั้นตอน วิธีการ หรือรายการที่ต้องการเรียงลำดับอย่างชัดเจน
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่มีตัวเลข (1, 2, 3) หรือรายการหมายเลข (Numbered List)
- พิมพ์รายการที่ต้องการ โดยแต่ละบรรทัดที่กด Enter จะสร้างหมายเลขใหม่ต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
- เมื่อต้องการยกเลิกรายการ ให้คลิกที่ไอคอนนี้ซ้ำ
21. คำพูดอ้างอิง (Blockquote)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถแทรกคำพูดอ้างอิงหรือข้อความที่ต้องการเน้นให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก เหมาะสำหรับการนำเสนอคำพูดจากบุคคลสำคัญ คำคม หรือข้อความที่ต้องการให้เห็นชัดเจน
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์คำพูด (“”) หรือ Blockquote
- พิมพ์ข้อความที่ต้องการ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วแล้วกดปุ่มนี้
- ข้อความจะถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบคำพูดอ้างอิงทันที
22. เส้นแบ่ง (Horizontal Line)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการแทรกเส้นแบ่งระหว่างเนื้อหา เหมาะสำหรับการแบ่งบทความออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน เช่น การแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน หรือการแทรกเส้นเพื่อคั่นหัวข้อ
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนเส้นตรง (—) หรือ Horizontal Line
- เส้นแบ่งจะถูกแทรกลงในบทความทันที โดยกินพื้นที่เต็มความกว้างของบทความ
23. เยื้องย่อหน้าไปทางขวา (Increase Indent)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเลื่อนย่อหน้าไปทางขวาได้ เหมาะสำหรับการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้ดูเป็นลำดับขั้นตอน เช่น รายการหัวข้อย่อย การแทรกคำพูด หรือการทำบล็อกโควตที่ต้องการเยื้องออกจากเนื้อหาหลัก
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ "¶" พร้อมลูกศรชี้ไปทางขวา (→)
- ข้อความหรือย่อหน้าที่เลือกจะถูกเลื่อนเยื้องไปทางขวาทันที
- สามารถคลิกซ้ำได้หลายครั้งเพื่อเพิ่มระดับการเยื้องออกไปเรื่อย ๆ ตามที่ต้องการ
24. เยื้องย่อหน้าไปทางซ้าย (Decrease Indent)
เครื่องมือนี้ใช้สำหรับเลื่อนย่อหน้ากลับไปทางซ้าย เหมาะสำหรับการปรับเนื้อหาให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม เช่น การยกเลิกการเยื้องที่เกินความจำเป็น หรือการปรับโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบ
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ "¶" พร้อมลูกศรชี้ไปทางซ้าย (←)
- ข้อความหรือย่อหน้าที่เลือกจะถูกเลื่อนกลับไปทางซ้ายทันที
- สามารถคลิกซ้ำได้หลายครั้งเพื่อลดระดับการเยื้องจนกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น
25. ภาษา (Language)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดภาษาในการเขียนบทความได้ เหมาะสำหรับการเขียนบทความที่มีการใช้งานหลายภาษา หรือการกำหนดภาษาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนรูปโลก (🌐)
- เลือกภาษาที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา
- ระบบจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าภาษาให้เหมาะสม เช่น การตรวจการสะกดคำ การจัดรูปแบบที่เหมาะกับภาษาแต่ละประเภท
26. ล้างการจัดรูปแบบ (Clear Formatting)
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถลบการจัดรูปแบบที่เคยตั้งค่าไว้กับข้อความ เช่น ตัวหนา ตัวเอียง ขีดเส้นใต้ สีตัวอักษร ขนาดตัวอักษร หรือการจัดรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการใช้งานแล้ว โดยข้อความจะกลับไปเป็นรูปแบบธรรมดา (Plain Text) ตามค่าเริ่มต้น
วิธีใช้งาน
- คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ เครื่องหมาย \ (Backslash)
- เลือกข้อความที่ต้องการล้างการจัดรูปแบบ
- เมื่อกดปุ่มนี้ การจัดรูปแบบที่เคยใช้งานจะถูกลบออกทันที เหลือเพียงข้อความธรรมดา
- เหมาะสำหรับการลบการตกแต่งที่ไม่ต้องการ หรือต้องการเริ่มต้นจัดรูปแบบใหม่
2. การเขียนบทความและการจัดวางเนื้อหา (Content Formatting)
เมื่อคุณเข้าสู่หน้าการเขียนบทความใน Blogger แล้ว เครื่องมือ Toolbar ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้จะกลายเป็นอาวุธสำคัญในการจัดวางเนื้อหาให้ดูดี อ่านง่าย และที่สำคัญคือ เป็นมิตรกับ SEO ด้วยครับ การจัดวางเนื้อหาใน Blogger จำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่ดี การใช้หัวข้อที่เหมาะสม และการปรับแต่งเนื้อหาให้รองรับการค้นหาใน Google อย่างเต็มที่ ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ มีดังนี้
H1 (Heading 1)
- ใช้เป็นหัวข้อหลักของบทความเท่านั้น (ควรมีเพียง 1 ครั้งต่อบทความ)
- ใช้คำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักของบทความ เช่น “วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ”
- โดยปกติ Blogger จะตั้งค่า H1 ให้กับชื่อบทความโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องปรับแต่งเพิ่มเติม
H2 (Heading 2)
- ใช้เป็นหัวข้อรองที่อยู่ในเนื้อหาหลัก
- เช่น “การเริ่มต้นโพสต์เนื้อหาใหม่ใน Blogger ผ่านมือถือ”, “การเขียนบทความและการจัดวางเนื้อหา”
- ควรมีหลายหัวข้อเพื่อช่วยแบ่งเนื้อหาให้เป็นตอน ๆ อ่านง่าย และ Google จัดทำดัชนีได้ดีขึ้น
H3 (Heading 3)
- ใช้เป็นหัวข้อย่อยที่อยู่ภายใต้ H2
- เช่น “การใช้เครื่องมือ Toolbar ในการเขียนบทความ”, “การใส่ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก”
- ใช้เพื่อแยกย่อยเนื้อหาให้ละเอียดและเป็นระเบียบมากขึ้น
H4, H5, H6 (Heading 4-6)
- ใช้สำหรับหัวข้อที่ลึกลงไปจาก H3
- ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกบทความ แต่สามารถใช้เพื่ออธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดได้
Bullet Points และ Numbering (รายการแบบจุดและตัวเลข)
- ใช้เพื่อจัดลำดับขั้นตอนหรือแยกรายการให้ชัดเจน เช่น การทำวิธีการหรือข้อควรระวัง
- เปิดแอป Blogger หรือเข้าผ่านเว็บเบราว์เซอร์
- เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
- เลือกบล็อกที่คุณต้องการโพสต์เนื้อหา
การแทรกรูปภาพ การใส่ข้อความแสดงแทน (Alt Text) เพื่อช่วย SEO
วิธีแทรกรูปภาพใน Blogger ผ่านมือถือ
- คลิกที่ปุ่ม “รูปภาพ (Image)” ใน Toolbar
- เลือกแหล่งที่มาของรูปภาพ (อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์, URL, หรือค้นหาจาก Google Photos)
- คลิกที่รูปภาพที่ต้องการ แล้วกด “เพิ่ม (Insert)”
- เมื่อรูปภาพถูกแทรกลงในบทความ ให้คลิกที่รูปภาพอีกครั้งเพื่อปรับแต่ง (เปลี่ยนขนาด, จัดตำแหน่ง, หรือเพิ่ม Alt Text)
การใส่ Alt Text เพื่อ SEO
- Alt Text คือข้อความที่ใช้บรรยายรูปภาพให้ Google เข้าใจว่าเป็นรูปอะไร
- ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักหรือคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในรูปภาพ
- ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นภาพที่แสดงวิธีการโพสต์บทความใน Blogger ควรใส่ข้อความว่า “วิธีโพสต์เนื้อหาใน Blogger ผ่านมือถือ”
การใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (External Links)
- การใช้ลิงก์ที่ดีนั้นช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเชื่อมโยงกับบทความอื่นอย่างไร และยังช่วยให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นด้วย
การสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links)
- ลิงก์ภายในคือการเชื่อมโยงบทความภายในบล็อกของคุณเอง
- ตัวอย่าง การลิงก์จากบทความนี้ไปยังบทความเกี่ยวกับ “การตั้งค่า SEO เบื้องต้นใน Blogger”
- ใช้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น
การสร้างลิงก์ภายนอก (External Links)
- ลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น การอ้างอิงจาก Google Search Console หรือ Wikipedia
- การใส่ลิงก์ภายนอกที่มีคุณภาพช่วยให้ Google มองว่าบทความของคุณมีความน่าเชื่อถือ
วิธีการเพิ่มลิงก์ใน Blogger
- ไฮไลต์ข้อความที่ต้องการสร้างลิงก์
- คลิกที่ปุ่ม “ลิงก์ (Link)” ใน Toolbar
- ใส่ URL ที่ต้องการ แล้วคลิก “ตกลง (OK)
3. การตั้งค่า SEO สำหรับโพสต์แต่ละบทความ
การตั้งค่าโพสต์ (Post Settings)
1. ป้ายกำกับ (Labels)
- เปรียบเสมือนหมวดหมู่ที่ช่วยจัดระเบียบบทความในบล็อกของคุณ
- ควรเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น “การตั้งค่า SEO”, “Blogger บนมือถือ”, “เทคนิคการเขียนบล็อก”
- ใส่คำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักหรือคีย์เวิร์ดรองก็ได้ เพื่อช่วยให้ Google จัดทำดัชนีได้แม่นยำขึ้น
- ตัวอย่าง: สำหรับบทความนี้อาจใช้ป้ายกำกับว่า “การเขียน Blogger บนมือถือ, SEO, การโพสต์เนื้อหา”
2. เผยแพร่เมื่อ (Published On)
- สามารถตั้งเวลาเผยแพร่บทความให้ตรงกับช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอ่านมากที่สุด
- ตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ อาจเลือกเวลาโพสต์ในช่วง 7.00 น. - 9.00 น. หรือ 17.00 น. - 20.00 น.
- การตั้งเวลาโพสต์ที่เหมาะสมช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความของคุณถูกอ่านมากขึ้น
3. ลิงก์ถาวร (Permalink)
การตั้งค่าลิงก์ถาวร (Permalink) คือการกำหนด URL ของบทความให้มีลักษณะที่ชัดเจน และเหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อ ซึ่งใน Blogger เราสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ
- ลิงก์ถาวรอัตโนมัติ (Automatic Permalink): Blogger จะสร้าง URL ให้อัตโนมัติตามชื่อบทความที่ตั้งไว้ ถ้าชื่อบทความยาวเกินไป ระบบจะตัดคำที่เกินออกและใช้อักขระบางส่วนแทน ซึ่งอาจทำให้ URL ไม่ชัดเจนหรือไม่เป็นมิตรกับ SEO
- ลิงก์ถาวรที่กำหนดเอง (Custom Permalink): ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า URL ได้ด้วยตัวเอง โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอย่างชัดเจนและกระชับ
ทำไมจึงควรกำหนด URL เอง?
- เพิ่มประสิทธิภาพ SEO การกำหนด URL เองช่วยให้เราสามารถใส่คีย์เวิร์ดสำคัญที่ต้องการทำ SEO ลงไปใน URL ได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เข้าใจเนื้อหาของบทความได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้โอกาสในการติดอันดับสูงขึ้น
- อ่านง่ายและเป็นมิตรต่อผู้อ่าน (User-Friendly): URL ที่เรากำหนดเองจะมีลักษณะที่อ่านง่าย กระชับ และสื่อถึงเนื้อหาได้ตรงประเด็นมากกว่า URL ที่สร้างโดยอัตโนมัติ
- ป้องกันปัญหา URL ที่ยาวเกินไป: เมื่อ Blogger สร้าง URL อัตโนมัติจากชื่อบทความที่ยาวเกินไป จะทำให้ URL ถูกตัดคำออกไปบางส่วน ซึ่งอาจทำให้ขาดความหมายหรือดูไม่เป็นระเบียบ การกำหนด URL เองช่วยให้เราควบคุมความยาวและโครงสร้างของ URL ได้อย่างสมบูรณ์
- ปรับแต่งให้ตรงกับการค้นหา (Keyword Optimization): การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นหาบ่อยใน URL สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความติดอันดับได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้งานที่ค้นหาผ่าน Google เห็นเนื้อหาของเราได้เร็วขึ้น
- สร้างความน่าเชื่อถือ: URL ที่สั้น กระชับ และสื่อความหมายชัดเจน จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ และเป็นมืออาชีพ
ตัวอย่างการตั้งค่า URL ที่ดี
- จากเดิมที่เป็น URL อัตโนมัติ https://lumooblog.blogspot.com/2025/04/blog-post.html
- การตั้งค่า URL เองให้ดีขึ้น https://lumooblog.blogspot.com/2025/04/how-to-post-blogger-on-mobile-seo.html
- การตั้งค่า URL เองให้เหมาะสมจะช่วยให้บทความของคุณสามารถติดอันดับได้ดีขึ้นในหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) และดึงดูดให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาได้มากขึ้น
4. ตำแหน่ง (Location)
- โดยทั่วไป การตั้งค่าตำแหน่งไม่ได้มีผลต่อ SEO มากนัก แต่สามารถช่วยให้ผู้ชมในพื้นที่ใกล้เคียงพบเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น (กรณีบล็อกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท้องถิ่น)
- หากเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับพื้นที่เฉพาะ เช่น ร้านค้า บริการ หรือกิจกรรมในสถานที่นั้น ๆ ควรตั้งค่าตำแหน่งให้ชัดเจน
5. คำอธิบายการค้นหา (Search Description)
- เป็นข้อความที่จะแสดงผลใน Google เมื่อมีการค้นหาบทความของคุณ
- ควรใช้ข้อความที่กระชับ มีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย และไม่เกิน 150 ตัวอักษร
- ตัวอย่างเช่น: “วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ เทคนิคการเขียน การตั้งค่า SEO และการเผยแพร่ที่ถูกต้อง”
- การตั้งค่า Search Description ที่ดีจะช่วยให้บทความของคุณมีโอกาสคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น
6. ตัวเลือก (Options): การตั้งค่าเพิ่มเติมที่สำคัญ ได้แก่
ความคิดเห็น (Comments) เลือกว่าจะให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่ โดยมีตัวเลือกดังนี้
- อนุญาต (Allow): เปิดให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้
- ไม่อนุญาต แสดงข้อความที่มีอยู่ (Do not allow, show existing): ปิดการแสดงความคิดเห็น แต่ยังคงแสดงความคิดเห็นที่มีอยู่แล้ว
- ไม่อนุญาต ซ่อนข้อความที่มีอยู่ (Do not allow, hide existing): ปิดการแสดงความคิดเห็นและซ่อนความคิดเห็นทั้งหมดที่เคยมี
7. แท็กสำหรับโรบ็อตที่กำหนดเอง (Custom Robot Tags)
ทำไมการเลือกค่าเริ่มต้นจึงดีสำหรับ SEO?
- อนุญาตให้ Google เก็บดัชนีเนื้อหาทั้งหมด (all): Google จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาบทความทั้งหมดของคุณได้อย่างอิสระ ทำให้มีโอกาสสูงขึ้นในการติดอันดับการค้นหา
- ป้องกันการใช้ข้อมูลจาก DMOZ (noodp): การเปิดใช้งาน noodp จะช่วยให้ Google ไม่ดึงข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์จาก Open Directory Project มาใช้ในการแสดงผลในหน้าค้นหา ซึ่งช่วยให้บทความของคุณถูกนำเสนออย่างถูกต้องตามที่คุณตั้งค่าไว้
- ลดความเสี่ยงจากการถูกบล็อก (Blocked Content): การเลือก all และ noodp ช่วยให้บทความของคุณสามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ และไม่มีการบล็อกใด ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับใน Google
คำแนะนำเพิ่มเติม
4. การตรวจสอบและเผยแพร่โพสต์ (Publishing)
การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา ก่อนกดเผยแพร่
1. การตรวจสอบเนื้อหา (Content Review)
- อ่านบทความทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหามีความต่อเนื่อง ลื่นไหล และไม่มีส่วนที่ขาดตกบกพร่อง
- ตรวจสอบคำผิด การพิมพ์ผิด และการใช้เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง
- ตรวจสอบการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ให้แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองถูกกระจายอย่างเหมาะสมในเนื้อหา ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
- ตรวจสอบลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก (Internal Links & External Links) ให้มั่นใจว่าทุกลิงก์ทำงานได้ถูกต้อง ไม่ใช่ลิงก์เสีย
2. การตรวจสอบการตั้งค่า SEO (SEO Settings Review)
- ตรวจสอบว่าคุณได้ตั้งค่า คำอธิบายการค้นหา (Search Description) ไว้อย่างถูกต้อง โดยมีคีย์เวิร์ดหลัก และมีความยาวไม่เกิน 150 ตัวอักษร
- ตรวจสอบการตั้งค่า Permalink ให้เป็นแบบกำหนดเอง (Custom Permalink) ที่มีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย
- ตรวจสอบการตั้งค่า Custom Robot Tags ว่าได้เปิดใช้งาน “All” และ “Noodp” ไว้อย่างถูกต้อง
- ตรวจสอบว่ารูปภาพที่แทรกลงไปมีการตั้งค่า Alt Text ครบทุกภาพ เพื่อช่วยในเรื่องการทำ SEO
- ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแสดงการตรวจสอบการตั้งค่า SEO ของบทความใน Blogger
3. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings)
- Public (สาธารณะ): บทความนี้จะเผยแพร่ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านการค้นหาใน Google หรือ URL โดยตรง
- Private (ส่วนตัว): บทความนี้จะไม่แสดงในบล็อกและเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
- Draft (แบบร่าง): บทความนี้จะถูกบันทึกไว้ใน Blogger แต่ยังไม่เผยแพร่ คุณสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
- แนะนำให้ใช้การตั้งค่าเป็น “Public” เพื่อให้บทความของคุณสามารถถูกค้นเจอผ่าน Google
4. วิธีการเผยแพร่โพสต์ให้แสดงผลอย่างถูกต้องในหน้าแรกของ Blogger
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการเผยแพร่บทความให้มีประสิทธิภาพ
- โปรโมทบทความผ่านโซเชียลมีเดีย: แชร์บทความไปยัง Facebook, Twitter, หรือกลุ่มที่สนใจเนื้อหาของคุณ เพื่อเพิ่มทราฟฟิกให้กับบล็อก
- ทำ Backlink จากบทความเก่า: ใส่ลิงก์จากบทความที่เคยเขียนไว้แล้วไปยังบทความใหม่ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและทำให้ Google มองว่าเนื้อหาของคุณมีการเชื่อมโยงอย่างดี
- อัปเดตบทความเป็นประจำ: ถ้าบทความนั้นเป็นเนื้อหาที่ต้องอัปเดต เช่น ข่าวสาร หรือคำแนะนำที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ควรกลับมาอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยเสมอ
- ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแสดงขั้นตอนการกดปุ่ม “เผยแพร่” และการตั้งค่าเป็น “Public”
5. เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเขียนบล็อกบนมือถือ
- 1. การใช้ Voice Typing (พิมพ์ด้วยเสียง) วิธีนี้เหมาะสำหรับการพิมพ์เนื้อหายาว ๆ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ถนัดพิมพ์ผ่านแป้นพิมพ์เล็ก ๆ ของมือถือ สามารถใช้งานได้ทั้งในแอป Google Keep, Notion และแม้กระทั่งการพิมพ์ลงใน Blogger โดยตรง เพียงแค่กดปุ่มไมโครโฟนบนแป้นพิมพ์แล้วพูดข้อความที่คุณต้องการ ระบบจะพิมพ์ให้คุณโดยอัตโนมัติ ข้อควรระวัง ควรพูดชัดเจน และตรวจสอบข้อความที่ได้พิมพ์ไว้ เพราะบางครั้งระบบอาจแปลงเสียงผิดพลาดได้
- 2. การใช้แป้นพิมพ์เสริม (Keyboard Apps) การเปลี่ยนมาใช้แอปแป้นพิมพ์ที่ออกแบบมาสำหรับการพิมพ์เร็ว ๆ เช่น Gboard (Google Keyboard) หรือ SwiftKey แอปเหล่านี้มีระบบการคาดเดาคำที่แม่นยำ การพิมพ์แบบลากนิ้ว (Swipe Typing) ที่ช่วยให้คุณพิมพ์ได้เร็วขึ้น มีการรองรับหลายภาษา และสามารถปรับแต่งแป้นพิมพ์ได้ตามความต้องการของคุณ
- 3. การใช้แอปช่วยในการเขียนบทความ แอปเหล่านี้ช่วยให้คุณเขียนบทความได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการร่างเนื้อหา การจัดการไอเดีย และการตรวจสอบคำผิด
แอปที่ช่วยในการเขียนบทความผ่านมือถือ
- 1. Google Keep เหมาะสำหรับการจดบันทึกไอเดียอย่างรวดเร็วและสร้างร่างบทความแบบคร่าว ๆ สามารถใช้ Voice Typing ได้สะดวก และสามารถ Sync ข้อมูลกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ รองรับการจัดการโน้ตด้วยป้ายกำกับ (Labels) เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและจัดหมวดหมู่ ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Google Keep ขณะกำลังจดบันทึกหัวข้อบทความ
- 2. Notion แอปที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เหมาะกับการเขียนบทความแบบละเอียด สามารถสร้างหน้าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เช่น หน้า ร่างบทความ, รายการหัวข้อ, หรือ ไอเดียที่ต้องการพัฒนา มีเครื่องมือจัดการงาน เช่น To-Do List, Calendar, และการใส่ไฟล์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น รองรับการใช้งานทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ Cloud Sync ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Notion ขณะกำลังจัดโครงสร้างบทความ
- 3. Grammarly แอปช่วยตรวจสอบคำผิด การใช้แกรมม่า และการปรับปรุงประโยคให้ดีขึ้น เหมาะกับบทความที่ต้องการคุณภาพสูง รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แม้ว่าในภาษาไทยอาจจะไม่ได้แม่นยำเท่าภาษาอังกฤษ แต่ก็ช่วยให้การเขียนดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ หรือดาวน์โหลดแอปลงในมือถือภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Grammarly ขณะตรวจสอบเนื้อหา
- 4. Trello แอปที่ใช้ในการจัดการงานแบบบอร์ด เหมาะสำหรับการวางแผนเนื้อหาบล็อกให้เป็นขั้นตอน สามารถสร้างบอร์ดสำหรับ บทความที่กำลังเขียนอยู่, บทความที่ต้องแก้ไข, และ บทความที่เผยแพร่แล้ว ทำให้การจัดการงานเป็นระบบระเบียบ เหมาะสำหรับการทำบล็อกแบบต่อเนื่องยาว ๆ ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Trello ขณะจัดการงานบทความ
- 5. Microsoft Word หรือ Google Docs สำหรับผู้ที่ต้องการร่างบทความอย่างละเอียด มีเครื่องมือครบครันสำหรับการเขียน สามารถใช้แทรกรูปภาพ ลิงก์ และการจัดรูปแบบได้เหมือนกับในคอมพิวเตอร์ รองรับการทำงานแบบออฟไลน์ และ Sync ข้อมูลขึ้น Cloud ได้เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเขียนบล็อกบนมือถือ
- จัดการเวลาให้ดี กำหนดช่วงเวลาที่คุณจะเขียนบทความให้ชัดเจน เพื่อให้ไม่เสียโฟกัส
- พักสายตาบ่อย ๆ การใช้มือถือเขียนบล็อกนาน ๆ อาจทำให้ตาล้า พักสายตาทุก ๆ 30 นาทีจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น
- สร้างบรรยากาศที่ดี หาที่นั่งที่สบาย หูฟังเพลงโปรด หรือเปิดแอปเสียงบรรยากาศเพื่อให้คุณเขียนได้ลื่นไหล
- ทบทวนเนื้อหา ก่อนที่จะกดเผยแพร่ ควรกลับมาอ่านบทความอย่างน้อย 1-2 รอบ เพื่อปรับปรุงจุดที่บกพร่อง
0 ความคิดเห็น