โพสต์ใน Blogger ยังไงให้ Google เจอเร็ว? แค่เขียนให้ถูกหลัก SEO ก็เห็นผลไว!

วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ

วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อก
ใน Blogger ผ่านมือถือ เทคนิคการเขียน การตั้งค่า SEO และการเผยแพร่ที่ถูกต้อง

1. การเริ่มต้นโพสต์เนื้อหาใหม่ใน Blogger ผ่านมือถือ

เมื่อบทความที่แล้วเราได้เรียนรู้ตั้งค่า SEO เบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้ง Meta Description, Custom 404 Errors, Redirects และ Crawler ทุกอย่างพร้อมสำหรับการโพสต์เนื้อหาใหม่บนบล็อกของคุณผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็น iPhone หรือ Android ก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังนี้

การเข้าใช้งานแอป Blogger หรือผ่านเว็บเบราว์เซอร์คุณสามารถเลือกใช้งานได้ 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่

1. ผ่านแอป Blogger (เฉพาะ Android)

  • ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store
  • เปิดแอปแล้วเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
  • เลือกบล็อกที่คุณต้องการโพสต์เนื้อหา หรือสร้างบล็อกใหม่หากยังไม่มี

2. ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (Google Chrome, Brave หรือ Safari)

  • เปิดเบราว์เซอร์ที่คุณใช้งาน แล้วไปที่เว็บไซต์ Blogger.com
  • เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
  • เลือกบล็อกที่คุณต้องการแก้ไขหรือสร้างใหม่

แนะนำให้ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ Google Chrome หรือ Brave เพราะสามารถเข้าถึงเครื่องมือทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่จำกัดเหมือนการใช้งานผ่านแอปโดยตรง

วิธีสร้างโพสต์ใหม่ และการตั้งชื่อบทความให้ตรงกับคีย์เวิร์ดหลัก (SEO-friendly)



1. เข้าสู่หน้าเขียนโพสต์ใหม่ (Create New Post)

  • กดที่ปุ่ม “+” หรือ “สร้างโพสต์ใหม่” ที่มุมบนขวาของหน้าจอ
  • จะเข้าสู่หน้าเขียนบทความที่มีช่องให้คุณใส่ชื่อบทความ และช่องสำหรับเขียนเนื้อหา


2. ตั้งชื่อบทความให้ดึงดูดและ SEO-friendly

  • ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดหลักชัดเจน เช่น “วิธีโพสต์เนื้อหาใน Blogger ผ่านมือถือ”
  • หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อที่ยาวเกินไป ควรจำกัดไว้ที่ประมาณ 60 ตัวอักษร
  • ใช้คำที่น่าสนใจ ชวนให้คลิก เช่น “เทคนิคการเขียน”, “การตั้งค่า SEO”, “เผยแพร่ที่ถูกต้อง” เป็นต้น

3. ใช้เครื่องมือ Toolbar ในการเขียนบทความ

  • เมื่อคุณเริ่มพิมพ์ จะเห็นแถบเครื่องมือที่อยู่ด้านบนของพื้นที่เขียนบทความ
  • เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดรูปแบบเนื้อหาให้สวยงาม อ่านง่าย และเป็นมิตรกับ SEO

มารู้จักเครื่องมือ Toolbar ใน Blogger เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้จัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเครื่องมือที่เราจะพบได้ในแถบนี้ ได้แก่

1. ปากกา (เขียน/แก้ไขเนื้อหา)

เครื่องมือนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างบทความใหม่หรือแก้ไขบทความที่มีอยู่แล้วใน Blogger โดยเมื่อคลิกที่ไอคอนปากกา จะมีตัวเลือกให้คุณเลือกโหมดการเขียนดังนี้

  • มุมมองเขียน (Compose View) โหมดที่คุณสามารถพิมพ์เนื้อหาได้อย่างอิสระในรูปแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) ซึ่งหมายความว่าเนื้อหาที่คุณพิมพ์จะปรากฏแบบเดียวกับที่ผู้อ่านเห็น เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการแก้ไขโค้ด HTML โดยตรง สามารถปรับแต่งข้อความ ตัวอักษร สี และรูปแบบต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่าน Toolbar ที่มีให้
  • มุมมอง HTML (HTML View) โหมดที่แสดงโครงสร้างโค้ด HTML ทั้งหมดของบทความ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขเนื้อหาในระดับโค้ด เช่น การฝังโค้ดจากแหล่งภายนอก การปรับแต่งการแสดงผลด้วย CSS หรือการใส่โค้ด HTML ที่ต้องการความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

2. เลิกทำ ⬅️ (Undo)

เครื่องมือที่ช่วยให้คุณยกเลิกการกระทำล่าสุดที่เพิ่งทำไป เช่น การพิมพ์ข้อความผิด การลบเนื้อหาที่ไม่ตั้งใจ หรือการปรับแต่งรูปแบบที่ไม่ต้องการ โดยสามารถกดได้หลายครั้งเพื่อย้อนกลับการกระทำก่อนหน้านี้ตามลำดับที่คุณทำมา ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็วและง่ายดาย

3. ทำซ้ำ ➡️ (Redo)

เครื่องมือที่ทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับ Undo โดยเมื่อคุณยกเลิกการกระทำใด ๆ ด้วย Undo แล้ว กด Redo จะทำให้การกระทำนั้นกลับคืนมา เช่น ถ้าเผลอกด Undo มากเกินไป Redo จะช่วยให้คุณเรียกคืนเนื้อหาหรือการแก้ไขที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

4. ตัวอักษร (Font Style)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณเลือกแบบอักษร (Font) ที่เหมาะสมกับบทความของคุณ เพื่อให้ดูสวยงาม อ่านง่าย และมีเอกลักษณ์ตามสไตล์ที่ต้องการ โดย Blogger มีให้เลือกหลากหลาย ได้แก่:

  • แบบอักษรเริ่มต้น (Default Font) แบบอักษรมาตรฐานที่กำหนดไว้ เหมาะสำหรับเนื้อหาทั่วไป
  • Arial แบบอักษรที่ดูสะอาดตา และอ่านง่าย เหมาะสำหรับบทความทั่วไปหรือเนื้อหาที่ต้องการความชัดเจน
  • Courier แบบอักษรที่เลียนแบบการพิมพ์ดีด ให้ความรู้สึกคลาสสิคและเฉพาะตัว
  • จอร์เจีย (Georgia) แบบอักษรที่มีหัวตัวอักษร (Serif) ชัดเจน อ่านง่าย เหมาะกับบทความที่เป็นทางการ
  • Helvetica  แบบอักษรที่ดูเรียบง่ายและทันสมัย เหมาะกับบทความที่ต้องการสไตล์ที่ดูโมเดิร์น
  • Times แบบอักษรที่นิยมใช้ในเอกสารหรือบทความที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
  • Trebuchet แบบอักษรที่ดูเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับบทความที่มีเนื้อหาแบบเล่าเรื่องหรือแนะนำ
  • Verdana แบบอักษรที่อ่านง่ายแม้ในขนาดเล็ก เหมาะสำหรับบทความที่มีเนื้อหาเยอะหรือเนื้อหาที่ต้องการให้อ่านสบายตา

การเลือกแบบอักษรที่เหมาะสมจะช่วยให้บทความของคุณดูมีสไตล์ และสามารถดึงดูดผู้อ่านได้ดีขึ้น

5. ขนาดตัวอักษร (Font Size)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณปรับขนาดตัวอักษรในบทความให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยมีตัวเลือกดังนี้

  • ปกติ (Normal) ขนาดมาตรฐาน เหมาะสำหรับเนื้อหาทั่วไป
  • ใหญ่ (Large) ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เหมาะสำหรับหัวข้อย่อย หรือเนื้อหาที่ต้องการเน้นให้เด่นชัด
  • ใหญ่พิเศษ (Extra Large) ขนาดที่ใหญ่ที่สุด เหมาะสำหรับหัวข้อหลักหรือข้อความที่ต้องการให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด

การเลือกขนาดตัวอักษรที่ถูกต้องช่วยให้บทความอ่านง่าย และสามารถเน้นส่วนสำคัญของเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. ย่อหน้า (Paragraph Formatting)

เครื่องมือที่ช่วยให้คุณจัดโครงสร้างบทความให้เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย โดยการกำหนดรูปแบบย่อหน้าหรือหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ 

  • ปกติ (Normal Text) ใช้สำหรับพิมพ์เนื้อหาทั่วไปที่เป็นข้อความหลัก
  • ส่วนหัวหลัก (Heading)  ใช้สำหรับหัวข้อที่สำคัญที่สุดในบทความ (H1) มักใช้กับชื่อเรื่องหลักของบทความเพื่อให้โดดเด่น
  • ส่วนหัว (Subheading) ใช้สำหรับหัวข้อย่อยที่อยู่ภายใต้หัวข้อหลัก (H2) เพื่อแบ่งเนื้อหาให้ชัดเจนเป็นหมวดหมู่
  • ส่วนหัวย่อย (Minor heading)  ใช้สำหรับหัวข้อที่เล็กลงไปอีกขั้น (H3) เหมาะสำหรับเจาะลึกเนื้อหาในแต่ละประเด็นย่อย
  • ส่วนหัวรอง (Subminor heading)  ใช้สำหรับเนื้อหาที่เล็กที่สุด (H4) มักใช้สำหรับแบ่งรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละส่วน
  • ย่อหน้า (Paragraph) ใช้สำหรับการแยกเนื้อหาออกจากกันอย่างเป็นระเบียบ เช่น การเว้นบรรทัดใหม่ เพื่อไม่ให้บทความดูอัดแน่นเกินไป

การจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบด้วยการใช้หัวข้อและย่อหน้าอย่างเหมาะสม จะช่วยให้บทความของคุณดูน่าอ่าน และช่วยให้ Google สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้ดีขึ้นตามหลัก SEO

เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการเนื้อหาในบทความได้อย่างเป็นระเบียบ เหมาะสม และดึงดูดผู้อ่านได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้บทความของคุณเป็นมิตรกับการทำ SEO มากขึ้นด้วย

7. ตัวหนา B (Bold)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับเน้นข้อความให้ดูโดดเด่นและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยการทำตัวอักษรให้หนา เหมาะสำหรับการเน้นคำสำคัญ ข้อความสำคัญ หรือหัวข้อที่ต้องการให้ผู้อ่านสังเกตเห็นได้ชัดเจน การใช้ตัวหนาในบทความยังช่วยให้โครงสร้างเนื้อหาดูเป็นระเบียบและอ่านง่ายขึ้นอีกด้วย

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนตัว "B" เพื่อเปิดใช้งาน
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นตัวหนา หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้เป็นตัวหนา
  • เมื่อคุณต้องการยกเลิกการทำตัวหนา ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "B" ซ้ำ

8. ตัวเอียง I (Italic)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณทำตัวอักษรให้เอียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับการเน้นคำพูด ประโยคที่ต้องการให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก การอ้างอิงคำพูด หรือข้อความที่ต้องการเน้นแบบไม่โดดเด่นจนเกินไป

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนตัว "I" เพื่อเปิดใช้งาน
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นตัวเอียง หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้เป็นตัวเอียง
  • เมื่อต้องการยกเลิกการทำตัวเอียง ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "I" ซ้ำ

9. ขีดเส้นใต้ U (Underline)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับขีดเส้นใต้ข้อความเพื่อเน้นหรือเน้นความสำคัญเพิ่มเติม โดยทั่วไปมักใช้ในการอ้างอิง ลิงก์ หรือหัวข้อที่ต้องการให้เห็นได้ชัดเจน

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนตัว "U" เพื่อเปิดใช้งาน
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้มีขีดเส้นใต้ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้มีขีดเส้นใต้
  • เมื่อต้องการยกเลิกการขีดเส้นใต้ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มตัว "U" ซ้ำ

10. ขีดฆ่า T (Strikethrough)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถทำเครื่องหมายขีดฆ่าบนข้อความ เหมาะสำหรับการแสดงเนื้อหาที่ถูกยกเลิก ข้อความที่ไม่ต้องการใช้อีกต่อไป หรือการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าได้มีการแก้ไขแล้ว

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนตัว "T" ที่มีเส้นขีดทับเพื่อเปิดใช้งาน
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้มีขีดฆ่า หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและกดปุ่มนี้เพื่อปรับให้มีขีดฆ่า
  • เมื่อต้องการยกเลิกการขีดฆ่า ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วคลิกที่ปุ่มนี้ซ้ำ

11. สีตัวอักษร (Text Color)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนสีตัวอักษรให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก เหมาะสำหรับการเน้นข้อความให้เด่นชัดขึ้น การใช้สีที่ต่างจากสีปกติจะช่วยดึงดูดสายตาผู้อ่านได้มากขึ้น

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนตัว "A" ที่มีขีดเส้นใต้สีดำ
  • เลือกสีที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา หรือกำหนดสีเฉพาะที่ต้องการใช้
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการให้เป็นสีที่เลือก หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วและเปลี่ยนสีตามที่ต้องการ
  • เมื่อต้องการเปลี่ยนกลับเป็นสีปกติ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วเลือกสีเดิม

12. ไฮไลต์ข้อความ (Highlight)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการเน้นข้อความด้วยการใส่สีพื้นหลัง เหมาะสำหรับการเน้นส่วนที่สำคัญ หรือการทำให้ข้อความดูโดดเด่นจากส่วนอื่น ๆ ของบทความ

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปปากกา
  • เลือกสีที่ต้องการใช้เป็นพื้นหลังสำหรับข้อความ
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วให้เปลี่ยนสีพื้นหลังตามที่ต้องการ
  • เมื่อต้องการยกเลิกการไฮไลต์ ให้เลือกข้อความนั้นอีกครั้งแล้วเลือกสีพื้นหลังเป็นค่าเริ่มต้น (ไม่มีสี)

13. ลิงก์ (Link)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มลิงก์ลงในบทความได้ เหมาะสำหรับการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น บทความอื่น ๆ หรือหน้าภายในบล็อกของคุณเอง

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปโซ่ (ลิงก์)
  • ใส่ URL ที่ต้องการลิงก์ไปถึงในช่องที่กำหนด
  • ใส่ข้อความที่ต้องการให้ผู้อ่านคลิกในช่องข้อความที่แสดง (เช่น "อ่านเพิ่มเติม")
  • กดปุ่มตกลงเพื่อเพิ่มลิงก์ลงในบทความ

14. รูปภาพ (Image)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณแทรกรูปภาพลงในบทความได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับการเพิ่มภาพประกอบที่ช่วยอธิบายเนื้อหาให้ชัดเจนขึ้น

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปภาพ
  • เลือกแหล่งที่มาของภาพ เช่น อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์, เลือกจาก Blogger, URL หรือ Google Photos
  • เลือกรูปภาพที่ต้องการแทรกลงในบทความ และกด "ตกลง"

15. วิดีโอ (Video)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับแทรกวิดีโอลงในบทความ เหมาะสำหรับการเพิ่มเนื้อหาวิดีโอที่ช่วยเสริมเนื้อหาบทความให้มีความหลากหลาย

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปฟิล์ม
  • เลือกแหล่งที่มาของวิดีโอ เช่น อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์ หรือฝังลิงก์จาก YouTube
  • กด "ตกลง" เพื่อแทรกวิดีโอที่ต้องการลงในบทความ

เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถตกแต่งบทความใน Blogger ให้ดูเป็นระเบียบและสวยงามยิ่งขึ้น สามารถดึงดูดผู้อ่านและช่วยในการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

16. อีโมจิ (Emoji)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถแทรกอีโมจิลงในบทความได้ ทำให้เนื้อหาดูเป็นกันเอง มีสีสัน และสนุกสนานมากขึ้น เหมาะสำหรับบทความที่ต้องการสร้างความเป็นมิตรหรือต้องการเน้นอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความดีใจ ความเศร้า หรือความตื่นเต้น

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปหน้ายิ้ม (😊)
  • เลือกอีโมจิที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา
  • คลิกที่อีโมจิเพื่อแทรกลงในบทความทันที

17. การจัดตำแหน่งข้อความ (Alignment)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการจัดตำแหน่งข้อความภายในบทความ เพื่อให้เนื้อหาดูเป็นระเบียบ อ่านง่าย และเหมาะสมกับโครงสร้างที่ต้องการ โดยมีตัวเลือกดังนี้

  • ชิดซ้าย ข้อความทั้งหมดจะชิดอยู่ทางด้านซ้าย เหมาะสำหรับบทความทั่วไปหรือเนื้อหาที่ยาว
  • กึ่งกลาง ข้อความจะถูกจัดให้อยู่ตรงกลาง เหมาะสำหรับหัวข้อสำคัญ ชื่อเรื่อง หรือคำคมที่ต้องการเน้น
  • ชิดขวา ข้อความจะถูกจัดให้ชิดทางด้านขวา เหมาะสำหรับการใส่ข้อมูลอ้างอิงหรือเซ็นชื่อ
  • จัดเต็มบรรทัด ข้อความจะถูกกระจายให้เต็มความกว้างของหน้า เหมาะสำหรับบทความที่ต้องการความเป็นระเบียบ เช่น บทความข่าวหรือรายงาน

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์การจัดตำแหน่ง
  • เลือกตัวเลือกที่ต้องการ เช่น ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา หรือจัดเต็มบรรทัด

18. การเยื้องข้อความ (Indentation)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเลื่อนข้อความหรือย่อหน้าไปทางขวา หรือเลื่อนกลับไปทางซ้ายได้ เหมาะสำหรับการทำบล็อกโควต การแบ่งเนื้อหาเป็นข้อ ๆ หรือการแทรกข้อความที่ต้องการให้ดูแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์การเยื้องข้อความ (ลูกศรที่ชี้เข้าและออก)
  • การเยื้องเข้าจะทำให้ข้อความเลื่อนเข้าทางขวา
  • การเยื้องออกจะทำให้ข้อความเลื่อนกลับไปทางซ้าย

19. รายการแบบมีสัญลักษณ์ (Bulleted List)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสร้างรายการแบบมีจุดหรือสัญลักษณ์นำหน้า เหมาะสำหรับการแสดงรายการที่ไม่ต้องเรียงลำดับ เช่น การแสดงคุณสมบัติ ข้อดี หรือรายการที่ต้องการให้ผู้อ่านมองเห็นได้ง่าย

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปจุดสามจุด (•) หรือรายการจุด (Bulleted List)
  • พิมพ์รายการที่ต้องการ แต่ละบรรทัดที่กด Enter จะสร้างรายการใหม่โดยอัตโนมัติ
  • เมื่อต้องการยกเลิกรายการ ให้คลิกที่ไอคอนนี้ซ้ำ

20. รายการแบบมีหมายเลข (Numbered List)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับสร้างรายการที่มีหมายเลขนำหน้า เหมาะสำหรับการแสดงขั้นตอน วิธีการ หรือรายการที่ต้องการเรียงลำดับอย่างชัดเจน

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่มีตัวเลข (1, 2, 3) หรือรายการหมายเลข (Numbered List)
  • พิมพ์รายการที่ต้องการ โดยแต่ละบรรทัดที่กด Enter จะสร้างหมายเลขใหม่ต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
  • เมื่อต้องการยกเลิกรายการ ให้คลิกที่ไอคอนนี้ซ้ำ

21. คำพูดอ้างอิง (Blockquote)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถแทรกคำพูดอ้างอิงหรือข้อความที่ต้องการเน้นให้แตกต่างจากเนื้อหาหลัก เหมาะสำหรับการนำเสนอคำพูดจากบุคคลสำคัญ คำคม หรือข้อความที่ต้องการให้เห็นชัดเจน

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์คำพูด (“”) หรือ Blockquote
  • พิมพ์ข้อความที่ต้องการ หรือเลือกข้อความที่มีอยู่แล้วแล้วกดปุ่มนี้
  • ข้อความจะถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบคำพูดอ้างอิงทันที

22. เส้นแบ่ง (Horizontal Line)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการแทรกเส้นแบ่งระหว่างเนื้อหา เหมาะสำหรับการแบ่งบทความออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน เช่น การแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน หรือการแทรกเส้นเพื่อคั่นหัวข้อ

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนเส้นตรง (—) หรือ Horizontal Line
  • เส้นแบ่งจะถูกแทรกลงในบทความทันที โดยกินพื้นที่เต็มความกว้างของบทความ
เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้การเขียนบทความใน Blogger เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดระเบียบเนื้อหาให้ดูเป็นสัดส่วน อ่านง่าย และน่าสนใจยิ่งขึ้น

23. เยื้องย่อหน้าไปทางขวา (Increase Indent)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเลื่อนย่อหน้าไปทางขวาได้ เหมาะสำหรับการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้ดูเป็นลำดับขั้นตอน เช่น รายการหัวข้อย่อย การแทรกคำพูด หรือการทำบล็อกโควตที่ต้องการเยื้องออกจากเนื้อหาหลัก

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ "¶" พร้อมลูกศรชี้ไปทางขวา (→)
  • ข้อความหรือย่อหน้าที่เลือกจะถูกเลื่อนเยื้องไปทางขวาทันที
  • สามารถคลิกซ้ำได้หลายครั้งเพื่อเพิ่มระดับการเยื้องออกไปเรื่อย ๆ ตามที่ต้องการ

24. เยื้องย่อหน้าไปทางซ้าย (Decrease Indent)

เครื่องมือนี้ใช้สำหรับเลื่อนย่อหน้ากลับไปทางซ้าย เหมาะสำหรับการปรับเนื้อหาให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม เช่น การยกเลิกการเยื้องที่เกินความจำเป็น หรือการปรับโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบ

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ "¶" พร้อมลูกศรชี้ไปทางซ้าย (←)
  • ข้อความหรือย่อหน้าที่เลือกจะถูกเลื่อนกลับไปทางซ้ายทันที
  • สามารถคลิกซ้ำได้หลายครั้งเพื่อลดระดับการเยื้องจนกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น

25. ภาษา (Language)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดภาษาในการเขียนบทความได้ เหมาะสำหรับการเขียนบทความที่มีการใช้งานหลายภาษา หรือการกำหนดภาษาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนรูปโลก (🌐)
  • เลือกภาษาที่ต้องการจากรายการที่แสดงขึ้นมา
  • ระบบจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าภาษาให้เหมาะสม เช่น การตรวจการสะกดคำ การจัดรูปแบบที่เหมาะกับภาษาแต่ละประเภท

26. ล้างการจัดรูปแบบ (Clear Formatting)

เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถลบการจัดรูปแบบที่เคยตั้งค่าไว้กับข้อความ เช่น ตัวหนา ตัวเอียง ขีดเส้นใต้ สีตัวอักษร ขนาดตัวอักษร หรือการจัดรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการใช้งานแล้ว โดยข้อความจะกลับไปเป็นรูปแบบธรรมดา (Plain Text) ตามค่าเริ่มต้น

วิธีใช้งาน

  • คลิกที่ไอคอนที่มีสัญลักษณ์ เครื่องหมาย \ (Backslash)
  • เลือกข้อความที่ต้องการล้างการจัดรูปแบบ
  • เมื่อกดปุ่มนี้ การจัดรูปแบบที่เคยใช้งานจะถูกลบออกทันที เหลือเพียงข้อความธรรมดา
  • เหมาะสำหรับการลบการตกแต่งที่ไม่ต้องการ หรือต้องการเริ่มต้นจัดรูปแบบใหม่
เครื่องมือทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการเนื้อหาในบทความ Blogger ได้อย่างเป็นระเบียบ เหมาะสม และสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ การใช้งานเครื่องมืออย่างถูกต้องจะช่วยให้บทความดูสวยงาม อ่านง่าย และส่งผลดีต่อ SEO อีกด้วย

2. การเขียนบทความและการจัดวางเนื้อหา (Content Formatting)

เมื่อคุณเข้าสู่หน้าการเขียนบทความใน Blogger แล้ว เครื่องมือ Toolbar ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้จะกลายเป็นอาวุธสำคัญในการจัดวางเนื้อหาให้ดูดี อ่านง่าย และที่สำคัญคือ เป็นมิตรกับ SEO ด้วยครับ การจัดวางเนื้อหาใน Blogger จำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่ดี การใช้หัวข้อที่เหมาะสม และการปรับแต่งเนื้อหาให้รองรับการค้นหาใน Google อย่างเต็มที่ ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ มีดังนี้

การแบ่งหัวข้อ H1, H2, H3 และการใช้ Bullet Points อย่างถูกต้อง การใช้หัวข้อที่เป็นระเบียบจะช่วยให้บทความของคุณดูอ่านง่ายขึ้น และช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ชัดเจนขึ้นด้วย โดยมีหลักการดังนี้

H1 (Heading 1)

  • ใช้เป็นหัวข้อหลักของบทความเท่านั้น (ควรมีเพียง 1 ครั้งต่อบทความ)
  • ใช้คำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักของบทความ เช่น “วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ”
  • โดยปกติ Blogger จะตั้งค่า H1 ให้กับชื่อบทความโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องปรับแต่งเพิ่มเติม

H2 (Heading 2)

  • ใช้เป็นหัวข้อรองที่อยู่ในเนื้อหาหลัก
  • เช่น “การเริ่มต้นโพสต์เนื้อหาใหม่ใน Blogger ผ่านมือถือ”, “การเขียนบทความและการจัดวางเนื้อหา”
  • ควรมีหลายหัวข้อเพื่อช่วยแบ่งเนื้อหาให้เป็นตอน ๆ อ่านง่าย และ Google จัดทำดัชนีได้ดีขึ้น

H3 (Heading 3)

  • ใช้เป็นหัวข้อย่อยที่อยู่ภายใต้ H2
  • เช่น “การใช้เครื่องมือ Toolbar ในการเขียนบทความ”, “การใส่ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก
  • ใช้เพื่อแยกย่อยเนื้อหาให้ละเอียดและเป็นระเบียบมากขึ้น

H4, H5, H6 (Heading 4-6)

  • ใช้สำหรับหัวข้อที่ลึกลงไปจาก H3
  • ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกบทความ แต่สามารถใช้เพื่ออธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดได้

Bullet Points และ Numbering (รายการแบบจุดและตัวเลข)

  • ใช้เพื่อจัดลำดับขั้นตอนหรือแยกรายการให้ชัดเจน เช่น การทำวิธีการหรือข้อควรระวัง
ตัวอย่างเช่น 
  • เปิดแอป Blogger หรือเข้าผ่านเว็บเบราว์เซอร์
  • เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google ของคุณ
  • เลือกบล็อกที่คุณต้องการโพสต์เนื้อหา

การแทรกรูปภาพ การใส่ข้อความแสดงแทน (Alt Text) เพื่อช่วย SEO 

การแทรกรูปภาพที่ดีนั้นไม่ได้ช่วยแค่ให้บทความดูน่าสนใจขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการทำ SEO ด้วย โดยเฉพาะการใส่ข้อความแสดงแทน (Alt Text) ให้ถูกต้อง

วิธีแทรกรูปภาพใน Blogger ผ่านมือถือ

  • คลิกที่ปุ่ม “รูปภาพ (Image)” ใน Toolbar
  • เลือกแหล่งที่มาของรูปภาพ (อัปโหลดจากคอมพิวเตอร์, URL, หรือค้นหาจาก Google Photos)
  • คลิกที่รูปภาพที่ต้องการ แล้วกด “เพิ่ม (Insert)”
  • เมื่อรูปภาพถูกแทรกลงในบทความ ให้คลิกที่รูปภาพอีกครั้งเพื่อปรับแต่ง (เปลี่ยนขนาด, จัดตำแหน่ง, หรือเพิ่ม Alt Text)

การใส่ Alt Text เพื่อ SEO

  • Alt Text คือข้อความที่ใช้บรรยายรูปภาพให้ Google เข้าใจว่าเป็นรูปอะไร 
  • ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักหรือคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในรูปภาพ
  • ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นภาพที่แสดงวิธีการโพสต์บทความใน Blogger ควรใส่ข้อความว่า “วิธีโพสต์เนื้อหาใน Blogger ผ่านมือถือ”

การใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (External Links)

  • การใช้ลิงก์ที่ดีนั้นช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเชื่อมโยงกับบทความอื่นอย่างไร และยังช่วยให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นด้วย

การสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links)

  • ลิงก์ภายในคือการเชื่อมโยงบทความภายในบล็อกของคุณเอง
  • ตัวอย่าง การลิงก์จากบทความนี้ไปยังบทความเกี่ยวกับ “การตั้งค่า SEO เบื้องต้นใน Blogger”
  • ใช้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น

การสร้างลิงก์ภายนอก (External Links)

  • ลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น การอ้างอิงจาก Google Search Console หรือ Wikipedia
  • การใส่ลิงก์ภายนอกที่มีคุณภาพช่วยให้ Google มองว่าบทความของคุณมีความน่าเชื่อถือ

วิธีการเพิ่มลิงก์ใน Blogger

  1. ไฮไลต์ข้อความที่ต้องการสร้างลิงก์
  2. คลิกที่ปุ่ม “ลิงก์ (Link)” ใน Toolbar
  3. ใส่ URL ที่ต้องการ แล้วคลิก “ตกลง (OK)

3. การตั้งค่า SEO สำหรับโพสต์แต่ละบทความ

การตั้งค่า SEO ที่ดีสำหรับโพสต์แต่ละบทความใน Blogger ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหาใน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือขั้นตอนการตั้งค่า SEO ที่ควรทำทุกครั้งที่คุณเผยแพร่โพสต์ใหม่

  การตั้งค่าโพสต์ (Post Settings)

การตั้งค่าโพสต์ใน Blogger ประกอบด้วยหลายส่วนที่ส่งผลต่อการทำ SEO โดยตรง เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง


 1. ป้ายกำกับ (Labels)

  • เปรียบเสมือนหมวดหมู่ที่ช่วยจัดระเบียบบทความในบล็อกของคุณ
  • ควรเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น “การตั้งค่า SEO”, “Blogger บนมือถือ”, “เทคนิคการเขียนบล็อก” 
  • ใส่คำที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักหรือคีย์เวิร์ดรองก็ได้ เพื่อช่วยให้ Google จัดทำดัชนีได้แม่นยำขึ้น
  • ตัวอย่าง: สำหรับบทความนี้อาจใช้ป้ายกำกับว่า “การเขียน Blogger บนมือถือ, SEO, การโพสต์เนื้อหา”


 2. เผยแพร่เมื่อ (Published On)

  • สามารถตั้งเวลาเผยแพร่บทความให้ตรงกับช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอ่านมากที่สุด
  • ตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ อาจเลือกเวลาโพสต์ในช่วง 7.00 น. - 9.00 น. หรือ 17.00 น. - 20.00 น.
  •  การตั้งเวลาโพสต์ที่เหมาะสมช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความของคุณถูกอ่านมากขึ้น

 

3. ลิงก์ถาวร (Permalink)

การตั้งค่าลิงก์ถาวร (Permalink) คือการกำหนด URL ของบทความให้มีลักษณะที่ชัดเจน และเหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อ ซึ่งใน Blogger เราสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ

  • ลิงก์ถาวรอัตโนมัติ (Automatic Permalink): Blogger จะสร้าง URL ให้อัตโนมัติตามชื่อบทความที่ตั้งไว้ ถ้าชื่อบทความยาวเกินไป ระบบจะตัดคำที่เกินออกและใช้อักขระบางส่วนแทน ซึ่งอาจทำให้ URL ไม่ชัดเจนหรือไม่เป็นมิตรกับ SEO
  • ลิงก์ถาวรที่กำหนดเอง (Custom Permalink): ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า URL ได้ด้วยตัวเอง โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอย่างชัดเจนและกระชับ

ทำไมจึงควรกำหนด URL เอง?

  • เพิ่มประสิทธิภาพ SEO การกำหนด URL เองช่วยให้เราสามารถใส่คีย์เวิร์ดสำคัญที่ต้องการทำ SEO ลงไปใน URL ได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เข้าใจเนื้อหาของบทความได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้โอกาสในการติดอันดับสูงขึ้น
  • อ่านง่ายและเป็นมิตรต่อผู้อ่าน (User-Friendly): URL ที่เรากำหนดเองจะมีลักษณะที่อ่านง่าย กระชับ และสื่อถึงเนื้อหาได้ตรงประเด็นมากกว่า URL ที่สร้างโดยอัตโนมัติ
  • ป้องกันปัญหา URL ที่ยาวเกินไป: เมื่อ Blogger สร้าง URL อัตโนมัติจากชื่อบทความที่ยาวเกินไป จะทำให้ URL ถูกตัดคำออกไปบางส่วน ซึ่งอาจทำให้ขาดความหมายหรือดูไม่เป็นระเบียบ การกำหนด URL เองช่วยให้เราควบคุมความยาวและโครงสร้างของ URL ได้อย่างสมบูรณ์
  • ปรับแต่งให้ตรงกับการค้นหา (Keyword Optimization): การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นหาบ่อยใน URL สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความติดอันดับได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้งานที่ค้นหาผ่าน Google เห็นเนื้อหาของเราได้เร็วขึ้น
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: URL ที่สั้น กระชับ และสื่อความหมายชัดเจน จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ และเป็นมืออาชีพ

ตัวอย่างการตั้งค่า URL ที่ดี

  • จากเดิมที่เป็น URL อัตโนมัติ https://lumooblog.blogspot.com/2025/04/blog-post.html
  • การตั้งค่า URL เองให้ดีขึ้น https://lumooblog.blogspot.com/2025/04/how-to-post-blogger-on-mobile-seo.html
  • การตั้งค่า URL เองให้เหมาะสมจะช่วยให้บทความของคุณสามารถติดอันดับได้ดีขึ้นในหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) และดึงดูดให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาได้มากขึ้น


   4. ตำแหน่ง (Location)

  • โดยทั่วไป การตั้งค่าตำแหน่งไม่ได้มีผลต่อ SEO มากนัก แต่สามารถช่วยให้ผู้ชมในพื้นที่ใกล้เคียงพบเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น (กรณีบล็อกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท้องถิ่น)
  • หากเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับพื้นที่เฉพาะ เช่น ร้านค้า บริการ หรือกิจกรรมในสถานที่นั้น ๆ ควรตั้งค่าตำแหน่งให้ชัดเจน

 

 5. คำอธิบายการค้นหา (Search Description)

  • เป็นข้อความที่จะแสดงผลใน Google เมื่อมีการค้นหาบทความของคุณ
  • ควรใช้ข้อความที่กระชับ มีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย และไม่เกิน 150 ตัวอักษร
  • ตัวอย่างเช่น: “วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ เทคนิคการเขียน การตั้งค่า SEO และการเผยแพร่ที่ถูกต้อง”
  • การตั้งค่า Search Description ที่ดีจะช่วยให้บทความของคุณมีโอกาสคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น

   

6. ตัวเลือก (Options): การตั้งค่าเพิ่มเติมที่สำคัญ ได้แก่

ความคิดเห็น (Comments) เลือกว่าจะให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่ โดยมีตัวเลือกดังนี้

  • อนุญาต (Allow): เปิดให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้
  • ไม่อนุญาต แสดงข้อความที่มีอยู่ (Do not allow, show existing): ปิดการแสดงความคิดเห็น แต่ยังคงแสดงความคิดเห็นที่มีอยู่แล้ว
  • ไม่อนุญาต ซ่อนข้อความที่มีอยู่ (Do not allow, hide existing): ปิดการแสดงความคิดเห็นและซ่อนความคิดเห็นทั้งหมดที่เคยมี


7. แท็กสำหรับโรบ็อตที่กำหนดเอง (Custom Robot Tags)

การตั้งค่าแท็กสำหรับโรบ็อตที่กำหนดเอง เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญสำหรับการทำ SEO โดยการกำหนดว่าบทความหรือหน้าเว็บนั้น ๆ จะให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เก็บข้อมูลและทำดัชนีอย่างไร

เนื่องจากบทความที่แล้วเราได้ตั้งค่า แท็กสำหรับโพสต์และหน้าเว็บ (Post & Page Tags) เลือกหัวข้อ all กับ noodp ซึ่งช่วยให้ Google สามารถเก็บดัชนีเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ และไม่ดึงข้อมูลจาก Open Directory Project (DMOZ) มาใช้

ดังนั้น ในขั้นตอนนี้ คุณสามารถเลือก “ค่าเริ่มต้น” ได้เลย เพราะค่าเริ่มต้นจะตั้งค่าไว้ให้เป็น all และ noodp ซึ่งเป็นค่าที่ดีที่สุดสำหรับการทำ SEO ใน Blogger ของคุณ

ทำไมการเลือกค่าเริ่มต้นจึงดีสำหรับ SEO?

  • อนุญาตให้ Google เก็บดัชนีเนื้อหาทั้งหมด (all): Google จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาบทความทั้งหมดของคุณได้อย่างอิสระ ทำให้มีโอกาสสูงขึ้นในการติดอันดับการค้นหา
  • ป้องกันการใช้ข้อมูลจาก DMOZ (noodp): การเปิดใช้งาน noodp จะช่วยให้ Google ไม่ดึงข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่สมบูรณ์จาก Open Directory Project มาใช้ในการแสดงผลในหน้าค้นหา ซึ่งช่วยให้บทความของคุณถูกนำเสนออย่างถูกต้องตามที่คุณตั้งค่าไว้
  • ลดความเสี่ยงจากการถูกบล็อก (Blocked Content): การเลือก all และ noodp ช่วยให้บทความของคุณสามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ และไม่มีการบล็อกใด ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับใน Google

คำแนะนำเพิ่มเติม

ถ้าคุณต้องการปรับแต่งเพิ่มเติมในบางกรณี เช่น ไม่ต้องการให้ Google เก็บรูปภาพ (noimageindex) หรือไม่ต้องการให้ Google แสดงข้อความตัวอย่าง (nosnippet) คุณสามารถเลือกตัวเลือกเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม แต่โดยทั่วไป การตั้งค่า ค่าเริ่มต้น (Default) ที่เลือก all และ noodp ก็เพียงพอสำหรับการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพแล้ว

หมายเหตุ การตั้งค่าให้เป็น ค่าเริ่มต้น จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้นและไม่เกิดข้อผิดพลาดจากการตั้งค่าที่ซับซ้อน


4. การตรวจสอบและเผยแพร่โพสต์ (Publishing)

หลังจากที่คุณเขียนบทความและตั้งค่า SEO เบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก่อนการเผยแพร่ก็คือ การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา เพื่อให้มั่นใจว่าบทความที่คุณกำลังจะปล่อยออกไปนั้นมีคุณภาพ อ่านลื่นไหล และตอบโจทย์ผู้อ่านอย่างแท้จริง

การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา ก่อนกดเผยแพร่

การตรวจสอบบทความให้ละเอียดก่อนการเผยแพร่เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการให้บทความนั้นติดอันดับใน Google และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่าน

   1. การตรวจสอบเนื้อหา (Content Review)

  • อ่านบทความทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหามีความต่อเนื่อง ลื่นไหล และไม่มีส่วนที่ขาดตกบกพร่อง
  • ตรวจสอบคำผิด การพิมพ์ผิด และการใช้เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง
  • ตรวจสอบการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ให้แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองถูกกระจายอย่างเหมาะสมในเนื้อหา ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
  • ตรวจสอบลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก (Internal Links & External Links) ให้มั่นใจว่าทุกลิงก์ทำงานได้ถูกต้อง ไม่ใช่ลิงก์เสีย

   2. การตรวจสอบการตั้งค่า SEO (SEO Settings Review)

  • ตรวจสอบว่าคุณได้ตั้งค่า คำอธิบายการค้นหา (Search Description) ไว้อย่างถูกต้อง โดยมีคีย์เวิร์ดหลัก และมีความยาวไม่เกิน 150 ตัวอักษร
  • ตรวจสอบการตั้งค่า Permalink ให้เป็นแบบกำหนดเอง (Custom Permalink) ที่มีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย
  • ตรวจสอบการตั้งค่า Custom Robot Tags ว่าได้เปิดใช้งาน “All” และ “Noodp” ไว้อย่างถูกต้อง
  • ตรวจสอบว่ารูปภาพที่แทรกลงไปมีการตั้งค่า Alt Text ครบทุกภาพ เพื่อช่วยในเรื่องการทำ SEO
  • ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแสดงการตรวจสอบการตั้งค่า SEO ของบทความใน Blogger

3. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings)

เมื่อคุณมั่นใจว่าบทความพร้อมสำหรับการเผยแพร่แล้ว คุณสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ 3 แบบ ดังนี้
  • Public (สาธารณะ): บทความนี้จะเผยแพร่ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านการค้นหาใน Google หรือ URL โดยตรง
  • Private (ส่วนตัว): บทความนี้จะไม่แสดงในบล็อกและเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
  • Draft (แบบร่าง): บทความนี้จะถูกบันทึกไว้ใน Blogger แต่ยังไม่เผยแพร่ คุณสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
  • แนะนำให้ใช้การตั้งค่าเป็น “Public” เพื่อให้บทความของคุณสามารถถูกค้นเจอผ่าน Google

4. วิธีการเผยแพร่โพสต์ให้แสดงผลอย่างถูกต้องในหน้าแรกของ Blogger

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม “เผยแพร่ (Publish)” ที่มุมขวาบนของหน้าจอ
Blogger จะแสดงกล่องข้อความยืนยันว่าโพสต์ของคุณจะถูกเผยแพร่ ให้คลิกที่ “ยืนยัน (Confirm)”
เมื่อเผยแพร่เสร็จสิ้น บทความของคุณจะปรากฏบนหน้าแรกของบล็อกและสามารถค้นหาได้ผ่าน URL ที่คุณกำหนดไว้

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการเผยแพร่บทความให้มีประสิทธิภาพ

  • โปรโมทบทความผ่านโซเชียลมีเดีย: แชร์บทความไปยัง Facebook, Twitter, หรือกลุ่มที่สนใจเนื้อหาของคุณ เพื่อเพิ่มทราฟฟิกให้กับบล็อก
  • ทำ Backlink จากบทความเก่า: ใส่ลิงก์จากบทความที่เคยเขียนไว้แล้วไปยังบทความใหม่ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและทำให้ Google มองว่าเนื้อหาของคุณมีการเชื่อมโยงอย่างดี
  • อัปเดตบทความเป็นประจำ: ถ้าบทความนั้นเป็นเนื้อหาที่ต้องอัปเดต เช่น ข่าวสาร หรือคำแนะนำที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ควรกลับมาอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยเสมอ
  • ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแสดงขั้นตอนการกดปุ่ม “เผยแพร่” และการตั้งค่าเป็น “Public”

5. เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเขียนบล็อกบนมือถือ

การเขียนบล็อกบนมือถือให้ได้บทความคุณภาพ ไม่ใช่แค่เรื่องของการพิมพ์คำลงไปในหน้าจอเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือเสริมที่ช่วยให้การเขียนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในหัวข้อนี้ เราจะมาดู เคล็ดลับเพิ่มเติม และ แอปที่ช่วยในการเขียนบทความผ่านมือถือ เพื่อให้คุณสร้างคอนเทนต์ได้ง่าย ๆ ทุกที่ทุกเวลา

เทคนิคการพิมพ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การพิมพ์บนมือถืออาจดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับหลาย ๆ คน แต่ถ้าคุณรู้จักเทคนิคเหล่านี้ จะช่วยให้คุณพิมพ์ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 1. การใช้ Voice Typing (พิมพ์ด้วยเสียง) วิธีนี้เหมาะสำหรับการพิมพ์เนื้อหายาว ๆ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ถนัดพิมพ์ผ่านแป้นพิมพ์เล็ก ๆ ของมือถือ สามารถใช้งานได้ทั้งในแอป Google Keep, Notion และแม้กระทั่งการพิมพ์ลงใน Blogger โดยตรง เพียงแค่กดปุ่มไมโครโฟนบนแป้นพิมพ์แล้วพูดข้อความที่คุณต้องการ ระบบจะพิมพ์ให้คุณโดยอัตโนมัติ ข้อควรระวัง ควรพูดชัดเจน และตรวจสอบข้อความที่ได้พิมพ์ไว้ เพราะบางครั้งระบบอาจแปลงเสียงผิดพลาดได้
  • 2. การใช้แป้นพิมพ์เสริม (Keyboard Apps) การเปลี่ยนมาใช้แอปแป้นพิมพ์ที่ออกแบบมาสำหรับการพิมพ์เร็ว ๆ เช่น Gboard (Google Keyboard) หรือ SwiftKey แอปเหล่านี้มีระบบการคาดเดาคำที่แม่นยำ การพิมพ์แบบลากนิ้ว (Swipe Typing) ที่ช่วยให้คุณพิมพ์ได้เร็วขึ้น มีการรองรับหลายภาษา และสามารถปรับแต่งแป้นพิมพ์ได้ตามความต้องการของคุณ
  • 3. การใช้แอปช่วยในการเขียนบทความ แอปเหล่านี้ช่วยให้คุณเขียนบทความได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการร่างเนื้อหา การจัดการไอเดีย และการตรวจสอบคำผิด

แอปที่ช่วยในการเขียนบทความผ่านมือถือ

  • 1. Google Keep เหมาะสำหรับการจดบันทึกไอเดียอย่างรวดเร็วและสร้างร่างบทความแบบคร่าว ๆ สามารถใช้ Voice Typing ได้สะดวก และสามารถ Sync ข้อมูลกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ รองรับการจัดการโน้ตด้วยป้ายกำกับ (Labels) เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและจัดหมวดหมู่ ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Google Keep ขณะกำลังจดบันทึกหัวข้อบทความ
  • 2. Notion แอปที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เหมาะกับการเขียนบทความแบบละเอียด สามารถสร้างหน้าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เช่น หน้า ร่างบทความ, รายการหัวข้อ, หรือ ไอเดียที่ต้องการพัฒนา มีเครื่องมือจัดการงาน เช่น To-Do List, Calendar, และการใส่ไฟล์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น รองรับการใช้งานทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ Cloud Sync ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Notion ขณะกำลังจัดโครงสร้างบทความ
  • 3. Grammarly แอปช่วยตรวจสอบคำผิด การใช้แกรมม่า และการปรับปรุงประโยคให้ดีขึ้น เหมาะกับบทความที่ต้องการคุณภาพสูง รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แม้ว่าในภาษาไทยอาจจะไม่ได้แม่นยำเท่าภาษาอังกฤษ แต่ก็ช่วยให้การเขียนดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ หรือดาวน์โหลดแอปลงในมือถือภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Grammarly ขณะตรวจสอบเนื้อหา
  • 4. Trello แอปที่ใช้ในการจัดการงานแบบบอร์ด เหมาะสำหรับการวางแผนเนื้อหาบล็อกให้เป็นขั้นตอน สามารถสร้างบอร์ดสำหรับ บทความที่กำลังเขียนอยู่, บทความที่ต้องแก้ไข, และ บทความที่เผยแพร่แล้ว ทำให้การจัดการงานเป็นระบบระเบียบ เหมาะสำหรับการทำบล็อกแบบต่อเนื่องยาว ๆ ภาพที่ควรแทรก: ภาพหน้าจอแอป Trello ขณะจัดการงานบทความ
  • 5. Microsoft Word หรือ Google Docs สำหรับผู้ที่ต้องการร่างบทความอย่างละเอียด มีเครื่องมือครบครันสำหรับการเขียน สามารถใช้แทรกรูปภาพ ลิงก์ และการจัดรูปแบบได้เหมือนกับในคอมพิวเตอร์ รองรับการทำงานแบบออฟไลน์ และ Sync ข้อมูลขึ้น Cloud ได้เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเขียนบล็อกบนมือถือ

  • จัดการเวลาให้ดี กำหนดช่วงเวลาที่คุณจะเขียนบทความให้ชัดเจน เพื่อให้ไม่เสียโฟกัส
  • พักสายตาบ่อย ๆ การใช้มือถือเขียนบล็อกนาน ๆ อาจทำให้ตาล้า พักสายตาทุก ๆ 30 นาทีจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น
  • สร้างบรรยากาศที่ดี หาที่นั่งที่สบาย หูฟังเพลงโปรด หรือเปิดแอปเสียงบรรยากาศเพื่อให้คุณเขียนได้ลื่นไหล
  • ทบทวนเนื้อหา ก่อนที่จะกดเผยแพร่ ควรกลับมาอ่านบทความอย่างน้อย 1-2 รอบ เพื่อปรับปรุงจุดที่บกพร่อง

บทสรุป วิธีโพสต์เนื้อหาบล็อกใน Blogger ผ่านมือถือ  เทคนิคการเขียน การตั้งค่า SEO และการเผยแพร่ที่ถูกต้อง

หลังจากที่เราได้เรียนรู้ขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การเริ่มต้นโพสต์เนื้อหาใหม่ การจัดวางเนื้อหาให้เหมาะสม การตั้งค่า SEO ไปจนถึงการตรวจสอบและเผยแพร่บทความอย่างถูกต้อง คราวนี้ถึงเวลาที่เราจะมาสรุปทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตั้งค่า SEO ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

การตั้งค่า SEO เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณทำบล็อกเพื่อให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า Meta Description, Permalink, ป้ายกำกับ, และการใช้คำค้น (Keywords) อย่างถูกต้องและพอเหมาะ อย่าลืมว่าการทำ SEO ที่ดีไม่ใช่แค่การใส่คำค้นเข้าไปเยอะ ๆ แต่เป็นการทำให้เนื้อหาของคุณดูเป็นธรรมชาติ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

การจัดวางเนื้อหาที่เป็นระเบียบ เพิ่มโอกาสให้ Google รู้จักคุณ

การใช้หัวข้อ H1, H2, H3 และการใช้ Bullet Points หรือ Numbering เป็นการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ Google สามารถจัดทำดัชนีเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมแทรก Alt Text ให้กับรูปภาพทุกครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ Google Image ด้วย

การใช้งานเครื่องมือเสริมช่วยให้การเขียนสะดวกขึ้น

การเขียนบล็อกบนมือถืออาจดูยุ่งยากสำหรับบางคน แต่ถ้าคุณใช้แอปที่ช่วยจัดการเนื้อหา เช่น Google Keep, Notion, Grammarly, Trello หรือ Google Docs จะช่วยให้การเขียนของคุณง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

การตรวจสอบบทความก่อนเผยแพร่ ช่วยให้คุณดูเป็นมืออาชีพ

ก่อนที่คุณจะกดปุ่มเผยแพร่ อย่าลืมตรวจสอบเนื้อหาให้ละเอียดอีกครั้ง ตรวจสอบการตั้งค่า SEO ทุกจุด และตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ต่าง ๆ การตรวจสอบให้ละเอียดช่วยให้บทความของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

การเผยแพร่และการโปรโมทบทความอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่คุณเผยแพร่บทความแล้ว อย่าลืมโปรโมทบทความของคุณผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือการสร้างลิงก์ภายในเพื่อเชื่อมโยงกับบทความเก่า การทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้กับบล็อกของคุณ และทำให้ Google มองว่าบล็อกของคุณมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

บทความนี้ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมทั้งหมดของการเขียนบล็อกบนมือถือใน Blogger ได้อย่างครบถ้วนแล้ว!

สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนและปรับปรุงเนื้อหาอยู่เสมอ เมื่อคุณเข้าใจวิธีการทำแล้ว ลองเขียนบทความในหัวข้อที่คุณถนัดหรือสนใจ แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ บทความต่อไปจะพาไปรู้จัก [หน้าเว็บเพจ blogger]พร้อมกับวิธีสร้างเมนูด้านบนเว็บ Blogger

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น